Search Results
พบ 305 รายการสำหรับ ""
- คืนเดียวที่งดงาม แต่ทิ้งอะไรไว้ในสายน้ำ? สำรวจมุมมองใหม่ของการลอยกระทง
วันเพ็ญเดือนสิบสองกระทงนองเต็มตลิ่ง จากการขอขมาต่อพระแม่คงคา สู่ขยะที่ทิ้งไว้ในสายน้ำ... ทุกปีในคืนวันเพ็ญเดือนสิบสอง ถือว่าเป็นอีกหนึ่งประเพณีที่สำคัญของคนไทย ที่เราจะได้เห็นผู้คนมากมายทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติต่างพากันออกมาลอยกระทง เพื่อแสดงความเคารพและขอขมาต่อพระแม่คงคา ที่สืบทอดวัฒนธรรมกันมาจากรุ่นสู่รุ่น แต่เคยย้อนกลับมาคิดกันไหม ว่าการขอขมาครั้งนี้ จริงๆ แล้วได้เป็นการทำร้ายสายน้ำ และระบบนิเวศ ด้วยขยะกระทงที่ลอยเกยแน่นริมตลิ่งในวันรุ่งขึ้นหรือเปล่า? ประเพณี "ลอยกระทง" ขอขมา หรือทำลาย? เนื้อหาเพลงลอยกระทง ที่เนื้อร้องบอกว่า “น้ำตะนองเต็มตลิ่ง” แต่พอมาปัจจุบัน กลายเป็น “กระทงนองเต็มตลิ่ง” ทุก ๆ ปี หลาย ๆ คนมักสนุกสนานกันกับประเพณีนี้ แต่ใครกันแน่ที่ต้องมารับมือกับขยะกระทงที่ลอยเต็มแม่น้ำ คนที่อยู่เบื้องหลัง นั่นคือทีมงานที่คอยเก็บขยะเหล่านี้ไม่ให้ไหลสู่ทะเล และหากมองในระยะยาว ขยะที่เราเห็นเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศของแม่น้ำได้โดยตรง เราขอขมาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่เราอาจลืมที่จะเคารพธรรมชาติที่อยู่ตรงหน้าไปด้วย “ถ้าไม่อยากให้ให้มีขยะ…งั้น! เราก็ลอยกระทงรักษ์โลกสิ! ปลาก็ได้กิน แถมย่อยสลายได้ง่ายอีก...” "เอ่อ..แน่ใจจจริง ๆ ใช่มั้ยว่านี่เป็นกระทงรักษ์โลก ลองคิดดูนะ ว่าถ้ากระทงพวกนี้ไปรวมกันเยอะ ๆ มันก็ไม่ต่างอะไรจากขยะกระทงมากมาย ที่พูดไปข้างต้น…" จะเป็นกระทงขนมปัง หรือ กระทงข้าวโพดหลากสี แม้จะดูเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพราะย่อยสลายได้ดีกว่าโฟม และพลาสติก แต่จริง ๆ เเล้วกระทงพวกนี้ ก็ยังมีผลกระทบต่อแม่น้ำเช่นกัน เเละเก็บยากด้วย! เพราะมันอืด! โดยเฉพาะในแง่ของการเพิ่มสารอินทรีย์และเศษอาหารที่ตกค้างในน้ำ หากมีจำนวนมากเกินไป เศษกระทงเหล่านี้จะสะสมและก่อให้เกิดการเน่าเสีย ซึ่งอาจเพิ่มระดับสารอินทรีย์ในน้ำ ทำให้ออกซิเจนในน้ำลดลงและส่งผลเสียต่อสัตว์น้ำ จนอาจรบกวนระบบนิเวศของแม่น้ำได้ และอีกหนึ่งความสวยงามในคืนลอยกระทง คือการปล่อยโคมลอย แต่รู้ไหมว่าบางครั้งโคมลอยก็ไปติดสายไฟ เกิดอันตราย หรือแม้กระทั่งตกลงมาเป็นขยะที่สร้างปัญหาให้ธรรมชาติ ความเสี่ยงเหล่านี้ทำให้เราต้องตั้งคำถามว่า ความงามในคืนเดียวนี้คุ้มค่าหรือไม่กับผลกระทบที่ตามมา? เราจะรักษาความงามของวัฒนธรรม พร้อมทั้งคำนึงถึงความยั่งยืนได้อย่างไร?… ในปัจจุบันมีหลายชุมชน เริ่มคิดถึงปัญหาเรื่องนี้กันบ้างแล้ว บางที่จัดกิจกรรมแบบใหม่ที่ไม่ต้องลอยกระทงลงน้ำ แต่เปลี่ยนเป็นกิจกรรมสร้างสรรค์ที่ให้คนมาเรียนรู้ถึงความสำคัญของน้ำหรือวิธีอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมแทน มีการประดิษฐ์กระทงที่ใช้ซ้ำ, การเช่ากระทง เเล้วนำไปลอยในบ่อน้ำของวัด หรือบ่อที่จัดเตรียมไว้ เพื่อที่จะไม่ต้องนำกระทงไปลอยลงแม่น้ำ และยังมีการจัดเวิร์กช็อปที่สอนเรื่องการรักษาธรรมชาติไปด้วยในตัว หรือการลอยกระทงเเบบออนไลน์ ก็น่าสนใจไปอีกแบบ บางคนอาจจะคิดว่า ถ้าลอยกระทงแบบใหม่ที่ไม่ต้องปล่อยลงน้ำ แล้วมันจะยังเรียกว่าลอยกระทงได้ไหม? …ถ้าเรามองลึกเข้าไปถึงความหมายของการลอยกระทงที่แท้จริง ความหมายของลอยกระทงคือการขอขมาและขอบคุณสายน้ำ ถ้าเราปรับเปลี่ยนวิธีแสดงออกเพื่อไม่ให้กระทบต่อธรรมชาติและให้คนซึมซับความสำคัญของวัฒนธรรม เเละเห็นคุณค่าของน้ำ นี่อาจจะเป็นทางเลือกที่ช่วยให้เรารักษาจิตวิญญาณของประเพณีไว้ได้ อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว เราควรที่จะเฉลิมฉลองวัฒนธรรมประเพณีอย่างสร้างสรรค์จะดีกว่า โดยที่เราไม่ต้องทิ้งภาระไว้ในสายน้ำ และให้ใครมาเก็บดีกว่านะ การลอยกระทงแบบใหม่ อาจจะเป็นการสร้างความตระหนักรู้ถึงการดูแลธรรมชาติไปพร้อมกัน ถ้าเราช่วยกันไม่ลอยกระทงลงแม่น้ำ 1 คน = 1 กระทง เราอาจจะเป็นส่วนหนึ่งในรักษาสิ่งแวดล้อมให้ดีขึ้นได้ ลอยกระทง เเต่ไม่ใช้กระทง … จะเป็นแบบไหนกันนะ? ถ้าอยากให้มีงานลอยกระทงอยู่ล่ะ! จะทำยังไงดี… เรามาดูการลอยกระทงแบบใหม่ ที่ไม่ทำลายธรรมชาติ กับ ไอเดียการจัดกิจกรรมวันลอยกระทง ที่ไม่มีกระทงกันดีกว่า ว่าจะมีไอเดียไหนน่าสนใจกันบ้าง เชิญชมคลิปด้านล่างนี้ได้เลย! ติดตามข่าวสารและเรื่องราวของพวกเราได้ที่นี่ Facebook : Instagram : Threads : Youtube
- เปิดมุมมองความมหัศจรรย์ของสิ่งมีชีวิต : Lee Kong Chian Natural History Museum จุดหมายใหม่ของสิงคโปร์
ทุกคนล้วนมีความทรงจำกับการสนุกกับธรรมชาติในวัยเด็กกัน ไม่ว่าจะเป็นการเก็บใบไม้ ก้อนหิน การดูสัตว์กัดกัน หรือการเงี่ยหูฟังเสียงคลื่นในทะเล สิ่งเหล่านี้ต่างก่อร่างเป็นความรู้สึกและความผูกพันที่แสนพิเศษ ซึ่งเราพกติดตัวมาจนโต แต่หากพูดถึงสถานที่ที่สามารถยกธรรมชาติในทุกมิติของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มารวมไว้ได้ จะมีที่ไหนเทียบเท่า Lee Kong Chian Natural History Museum ได้อีก? เลยเป็นที่มาในการเดินทางมาดู Museum ที่สิงคโปร์แห่งนี้ พิพิธภัณฑ์ Lee Kong Chian Natural History Museum ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก Lee Kong Chian นักธุรกิจและผู้ใจบุญที่อุทิศตนให้กับการศึกษาและการอนุรักษ์ธรรมชาติในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ วิสัยทัศน์ของเขาคือการสร้างสถานที่ที่ผู้คนทุกวัยสามารถมาศึกษาและเข้าใจคุณค่าของธรรมชาติได้อย่างลึกซึ้ง อาคารแห่งนี้ไม่ได้เพียงแค่เก็บรวบรวมตัวอย่างจากธรรมชาติ หากแต่ยังเป็นแหล่งเรียนรู้ที่เน้นความยั่งยืน พื้นที่สีเขียวที่ปลูกพืชพรรณท้องถิ่นบนดาดฟ้าและการใช้แสงธรรมชาติภายในอาคาร คือสัญลักษณ์ที่สะท้อนถึงการเชื่อมโยงระหว่างมนุษย์และธรรมชาติ และเป็นการออกแบบที่คำนึงถึงความสำคัญของการรักษาความหลากหลายทางชีวภาพ สิ่งหนึ่งที่น่าประทับใจในการออกแบบอาคารคือความกลมกลืนกับธรรมชาติ อาคารที่มีรูปทรงคล้ายหินที่อยู่บนพื้น (Rock Form) นี้ สื่อถึงความมั่นคงและพลังของธรรมชาติ พร้อมทั้งการมี Green Roof ซึ่งเป็นสวนดาดฟ้าที่ปลูกพืชพรรณท้องถิ่น ลดความร้อนให้กับอาคาร และเปิดโอกาสให้ผู้มาเยือนได้สัมผัสธรรมชาติแม้จะอยู่ในเมืองใหญ่ การใช้แสงธรรมชาติส่องสว่างภายในช่วยลดการใช้พลังงาน ทำให้พิพิธภัณฑ์แห่งนี้เป็นตัวอย่างของการออกแบบที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง เดินทางเข้าสู่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ เมื่อเดินเข้าสู่โถงจัดแสดง สิ่งที่ดึงดูดเราให้เข้าไปก่อนเลยก็คือฟอสซิลไดโนเสาร์สามตัวที่มีอายุเก่าแก่กว่า 80 ล้านปี ได้แก่ Prince, Apollonia, และ Twinky ที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางห้อง มันน่าทึ่งที่เราได้เห็นไดโนเสาร์ขนาดใหญ่แบบสมบูรณ์อยู่ข้างหน้านี้ ทำให้นึกถึงสมัยเด็กที่นั่งวาดรูปไดโนเสาร์จากหนังสือและจินตนาการถึงความใหญ่โตของสิ่งมีชีวิตแต่ละตัวที่ดุร้ายของโลกยุคดึกดำบรรพ์ ทำให้รู้สึกว่าสิ่งที่เราดูอยู่มันไม่ใช่แค่ฟอสซิล แต่คือเครื่องย้ำเตือนถึงชีวิตที่เคยอาศัยอยู่บนโลกใบนี้นานนับล้านปี และเป็นสิ่งที่อัศจรรย์ที่พวกมันยังถูกเก็บรักษาเพื่อให้เราได้สัมผัสถึงความมหัศจรรย์ของชีวิตและวงจรธรรมชาติ ไม่เพียงแต่ไดโนเสาร์ พิพิธภัณฑ์ยังมี ตัวอย่างของพืชและสัตว์ที่หายาก และเอกลักษณ์เฉพาะของภูมิภาค จัดเก็บและดูแลในตู้กระจก พื้นที่จัดแสดงแต่ละโซนจะบอกเล่าถึงความหลากหลายที่แฝงอยู่ในธรรมชาติ และความสำคัญของการอนุรักษ์สิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่เรามีอยู่ในปัจจุบัน มีการจัดหมวดหมู่ของสิ่งมีชีวิตที่ทำให้เราเข้าใจ และเห็นความเชื่อมโยงของสิ่งมีชีวิตแต่ละประเภท การจัดชิ้นงานเล็กๆอยู่รวมกันได้อย่างสวยงาม และหลากหลาย เดินอ่านได้ไม่เบื่อเลย ที่ชอบอีกโซนคือสัตว์น้ำ ที่เพิ่มแสงสีเข้ามาให้บรรยากาศเหมือนลงไปอยู่ใต้น้ำ การมาเยือน Lee Kong Chian Natural History Museum ไม่ได้เป็นเพียงการท่องเที่ยว แต่ยังเป็นการรับรู้ถึงความสำคัญของการอนุรักษ์ ความหลากหลายทางชีวภาพที่ถูกจัดแสดงเป็นเหมือนหนังสือเล่มใหญ่ที่เปิดให้เราได้เรียนรู้ถึงความมหัศจรรย์และความซับซ้อนของธรรมชาติ และยังเป็นการเตือนใจถึงหน้าที่ของเราที่ต้องรักษาธรรมชาติไว้ให้กับคนรุ่นหลัง ที่นี่ไม่เพียงแต่แสดงให้เห็นถึงคุณค่าของสิ่งที่เรามี แต่ยังเป็นแหล่งสร้างแรงบันดาลใจให้เราคิดถึงการใช้ชีวิตอย่างยั่งยืนในสังคมปัจจุบัน เป็นสถานที่ที่สะท้อนให้เห็นว่าการออกแบบสามารถเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างแรงบันดาลใจและสนับสนุนให้เราเคารพและหวงแหนธรรมชาติได้อย่างลึกซึ้ง เป็นแรงบันดาลใจที่ย้ำเตือนให้เรามองเห็นความสำคัญของธรรมชาติในการดำรงชีวิตของเรา และยังแอบซ่อนการนำเสนอประเทศสิงคโปร์ได้อย่าแนบเนียน หากมีโอกาสมาเยือนสิงคโปร์ ผมว่าการมาชมพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ก็เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่แตกต่างและน่าสนใจ เพราะมันอาจจะทำให้เราได้มองเห็นโลก ธรรมชาติ และชีวิตในมุมที่กว้างขึ้นไปกว่าเดิม Lee Kong Chian Natural History Museum ตั้งอยู่ภายใน มหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ (National University of Singapore - NUS) 🚗 การเดินทาง: รถไฟ MRT: ใช้สาย Circle Line (สีส้ม) และลงที่สถานี Kent Ridge MRT Station (CC24) จากนั้นนั่งรถบัสภายในมหาวิทยาลัย (NUS Internal Shuttle Bus) เพื่อไปยังอาคารพิพิธภัณฑ์ รถบัส: สามารถใช้รถบัสสาย 96, 151, 151e, หรือ 183 มายังมหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์และเดินต่อมายังพิพิธภัณฑ์ได้ หรือเรียกแท็กซี่จบๆ 🕰 เวลาเปิดทำการ: วันอังคาร - วันอาทิตย์: 10:00 น. - 18:00 น. หยุดทำการทุกวันจันทร์ รอบเข้าชมสุดท้ายเวลา 17:00 น. 💵 ค่าเข้าชม: ผู้ใหญ่ (อายุ 18 ปีขึ้นไป): 21 SGD เยาวชน (อายุ 3 - 12 ปี): 13 SGD นักเรียน นักศึกษา (ต้องแสดงบัตร): 13 SGD เด็กอายุต่ำกว่า 3 ปี: เข้าฟรี (หมายเหตุ: ราคาค่าเข้าชมอาจมีการเปลี่ยนแปลง กรุณาตรวจสอบที่เว็บไซต์ของพิพิธภัณฑ์เพื่อข้อมูลล่าสุด) 🌐 ข้อมูลเพิ่มเติม: แวะชมเว็บไซต์ของพิพิธภัณฑ์ที่ https://lkcnhm.nus.edu.sg เพื่ออัปเดตข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับนิทรรศการ กิจกรรมพิเศษ และโปรโมชั่นที่อาจมีในช่วงเวลาต่างๆก่อนนะ ติดตามข่าวสารและเรื่องราวของพวกเราได้ที่นี่ Facebook : Instagram : T hreads : Youtube
- ทาสแมวฟังทางนี้! ผ้าแบบไหนกันรอยข่วนได้? เคล็ดลับเลือกผ้าสำหรับคนรักสัตว์
ปัญหาคลาสสิกของเหล่าทาสทั้งหลาย... ห้องก็อยากแต่ง แมวก็อยากเลี้ยง ปัญหาของเหล่าทาส เรื่องรอยขีดข่วน และขนที่ติดตามเฟอร์นิเจอร์ แก้ไขปัญหานี้ยังไงดีนะ? จะให้ไปว่าน้องหมาน้องแมวที่ชอบข่วนโซฟา หรือชอบฉี่ใส่เฟอร์นิเจอร์ น้องก็คงไม่รู้อะไร เพราะจริง ๆ มันก็เป็นสัญชาตญาณของน้อง ๆ ไม่ใช่เรื่องที่เราจะสามารถห้ามได้ เเต่ก็ต้องค่อย ๆ สอน ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของน้อง ๆ แต่พอถ้าเกิดเหตุการณ์เเบบนี้ขึ้น แค่คิดก็คงรู้สึกเซ็ง ๆ กันแล้วใช่ไหมล่ะ? บางทีทางที่ดีที่สุดก็คือ ปรับตัวเราให้เข้ากับเขาดีกว่านะ เพราะการมีสัตว์เลี้ยงในบ้านก็เหมือนมีเพื่อนสนิทที่มาเติมเต็มความสุขให้เราทุกวัน แต่แน่นอนว่าก็ไม่ได้มีแต่ข้อดีเสมอไป ยังไงเเล้วทาสแมว ทาสหมาก็ต้องเจอปัญหาจุกจิกกันอยู่บ่อย ๆ ซึ่งปัญหานี้ ก็คงเป็นปัญหาที่หลาย ๆ คน ต้องเคยพบเจอ ไม่ว่าจะเป็นรอยข่วนจากการลับเล็บของเจ้าเหมียว ขนที่ติดตามโซฟาจนต้องหมั่นทำความสะอาดอยู่บ่อย ๆ หรือบางทีก็มีเรื่องกลิ่นเฉพาะตัวน้อง ๆ ที่ติดบนเฟอร์นิเจอร์ต่าง ๆ ไปจนถึงการฉี่ของน้อง ๆ บางตัวที่ทำให้เหล่าทาสปวดหัวกันเป็นว่าเล่น อ่านมาถึงตรงนี้เเล้ว! อยากรู้เเล้วใช้มั้ย ว่าเราจะแก้ปัญหายังไงดี บอกเลยว่าปัญหานี้แก้ได้ง่าย ๆ ถ้าเรารู้จักเลือกผ้าที่จะนำมาหุ้มเฟอร์นิเจอร์ให้เหมาะกับน้อง ๆ ของเรา มาดูกันดีกว่า ว่าจะเลือกแบบไหนถึงจะตอบโจทย์กับเฟอร์นิเจอร์มากที่สุด ผ้าบุเฟอร์นิเจอร์ คืออะไร ? เเล้วต่างจากผ้าทั่วไปตรงไหน… ผ้าบุเฟอร์นิเจอร์ หรือที่เรียกว่า Upholstery Fabric เป็นผ้าที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับใช้หุ้มเฟอร์นิเจอร์ โดยจะมีความแข็งแรงทนทานกว่าผ้าทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นการทนต่อการเสียดสีและการขีดข่วน รวมถึงคุณสมบัติพิเศษอื่น ๆ ที่ช่วยให้สามารถใช้งานได้ยาวนานและดูแลรักษาง่ายมากขึ้น และนี่คือเหตุผลที่ผ้าบุเฟอร์นิเจอร์แตกต่างจากผ้าทั่วไป ทนต่อรอยขีดข่วน สำหรับบ้านที่มีสัตว์เลี้ยง ควรเลือกผ้าที่ทนทานต่อการขีดข่วน เช่น ผ้า Microfiber หรือผ้าชนิด Polyester ซึ่งมีความยืดหยุ่นสูงและทนต่อการเสียดสีได้ดี ทั้งยังมีคุณสมบัติในการทำความสะอาดง่าย ไม่ต้องกังวลเรื่องรอยขีดข่วนจากการลับเล็บของน้อง ๆ อีกต่อไป สะท้อนน้ำ อย่าลืมมองหาผ้าบุที่มีการเคลือบสะท้อนน้ำ! เพราะนอกจากจะช่วยลดปัญหาน้ำหรือฉี่จากสัตว์เลี้ยงที่อาจหกเลอะบนเฟอร์นิเจอร์แล้ว ยังช่วยทำให้ทำความสะอาดได้ง่ายขึ้นและช่วยป้องกันการสะสมของกลิ่นไม่พึงประสงค์ที่อาจเกิดจากสัตว์เลี้ยงอีกด้วย นอกจากนี้ สำหรับปัญหาของเหลวหรือกลิ่นที่อาจเกิดจากสัตว์เลี้ยง การเลือกผ้าที่มีคุณสมบัติ สะท้อนน้ำ ก็สามารถช่วยให้การทำความสะอาดง่ายขึ้น และช่วยป้องกันกลิ่นไม่พึงประสงค์จากการฉี่หรือของเหลวที่หกใส่เฟอร์นิเจอร์ได้อีกด้วย เลือกผ้าที่เหมือนเหมาะสม กับการดูเเลที่เเสนจะง่ายดาย Tips: การดูแลรักษาผ้าบุเฟอร์นิเจอร์ ที่เลือกมาให้ดีนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญมาก! เราขอแนะนำให้ทาสสัตว์ทุกคนใช้เครื่องดูดฝุ่นขนาดเล็กหรือโรลลูกกลิ้งเก็บขนสัตว์เก็บขนสัตว์ที่ตกหล่นออกจากเฟอร์นิเจอร์เป็นประจำ เพื่อลดการสะสมของขน อีกทั้งการทำความสะอาดเฟอร์นิเจอร์อย่างสม่ำเสมอและการตรวจสอบสภาพเฟอร์นิเจอร์เพื่อรักษาความทนทาน ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยให้เฟอร์นิเจอร์ให้ดูใหม่อยู่เสมอ การเลือกผ้าบุที่เหมาะสมนอกจากจะช่วยในเรื่องของความสวยงาม และเฟอร์นิเจอร์ที่ดูดีเเล้วดูดีอีกทั้งยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในระยะยาวอีกด้วยนะ เนื่องจากไม่ต้องซ่อมแซมหรือเปลี่ยนเฟอร์นิเจอร์บ่อย ๆ ด้วยความทนทานของผ้า อีกทั้งยังช่วยให้บ้านน่าอยู่มากยิ่งขึ้น ซึ่งการเลือกเลือกผ้าบุที่เหมาะสมสำหรับเฟอร์นิเจอร์ในบ้าน จะช่วยปกป้องจากรอยขีดข่วน เเละยังช่วยให้บ้านของรายังดูดีและสะอาดตาอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นทาสแมวหรือทาสหมาก็ไม่ต้องกังวลเรื่องปัญหาจากสัตว์เลี้ยงอีกต่อไป อย่าลืมนำเคล็ดลับดี ๆ แบบนี้ ไปปรับใช้กันด้วยนะคะ เเละถ้าหากใครอยากอยากรู้เรื่อง ผ้าในการตกเเต่งภายใน ให้เข้ากับห้องของเราเพิ่มเติม ซึ่งบางคนก็ยัง ใช้ผ้าตกแต่งบ้านกันผิด ๆ ถูก ๆ อยู่จริงแล้วมีวิธีเลือกกันยังไง!? ใครอยากรู้คำตอบแล้วมาดูเคล็ดลับดี ๆ ได้ ที่นี่ รับชมวิดีโอ แนะนำการเลือกผ้าให้เข้ากับห้องของเรา ติดตามข่าวสารและเรื่องราวของพวกเราได้ที่นี่ Facebook : Instagram : Threads : Youtube
- เมื่อการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ 2024 กลายเป็นการเลือกแบบดีไซน์ชีวิตของชาวอเมริกัน
ในช่วงเวลาของการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา 2024 ที่เกิดขึ้นนี้ ผู้คนทั่วโลกจับตามองว่าการเลือกผู้นำคนต่อไปของประเทศนี้จะนำพาประเทศไปในทิศทางใด การเลือกตั้งจึงไม่ใช่แค่เรื่องของการโหวตเลือกผู้นำเท่านั้น แต่นัยหนึ่งก็เหมือนเป็น การออกแบบอนาคตของประเทศ ที่จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อชีวิตประจำวันของประชาชน ที่ทุกคนต่างมีบทบาทเป็น "นักออกแบบ" ที่ต้องตัดสินใจเลือกดีไซน์ที่ต้องการ ไม่ว่าจะเป็นด้านสังคม เศรษฐกิจ หรือสิ่งแวดล้อม ในสังคมประชาธิปไตย การลงคะแนนเสียงคือการเลือกโครงสร้างที่เราจะใช้ชีวิตในอีกหลายปีข้างหน้า ถ้าจะให้เปรียบ การเลือกตั้งครั้งนี้ก็เหมือนกับการเลือกแบบบ้านสองหลังที่ต่างกันสุดขั้ว บ้านหลังแรกที่ออกแบบโดยโดนัลด์ ทรัมป์ กับ บ้านหลังที่สองที่ออกแบบโดยแฮริส แต่ละหลังมีดีไซน์และแนวคิดที่ไม่เหมือนกัน และอนาคตของชาวอเมริกันจะเปลี่ยนแปลงไปตามดีไซน์ที่พวกเค้าเลือก การออกแบบสิ่งแวดล้อม: เมื่ออนาคตของพลังงานอยู่ในมือของเรา ในทุกวันนี้ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นปัญหาที่ไม่สามารถเพิกเฉยได้ แต่ละฝ่ายมีวิสัยทัศน์ที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนในการออกแบบนโยบายสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นสิ่งที่ส่งผลโดยตรงต่อคุณภาพชีวิตของประชาชน บ้านทรัมป์: เสียงเครื่องยนต์ที่กลับมาดังกระหึ่ม โดนัลด์ ทรัมป์มีนโยบายที่เน้นการสนับสนุนอุตสาหกรรมดั้งเดิม ด้วยนโยบาย "drill, baby, drill" มุ่งผลักดันให้สหรัฐฯ เป็นผู้ผลิตน้ำมันและก๊าซรายใหญ่ที่สุดของโลก เพื่อส่งเสริมการจ้างงานในภาคอุตสาหกรรมเหล่านี้และสนับสนุนเศรษฐกิจในพื้นที่ชนบท พร้อมถอนตัวจากข้อตกลงปารีสอีกครั้ง นโยบายเช่นนี้ส่งผลให้การลงทุนในพลังงานสะอาดชะลอตัวลง บ้านแฮริส: พื้นที่สีเขียวและการใช้พลังงานสะอาดเป็นหัวใจหลัก ในทางกลับกัน คามาลา แฮริสได้แสดงวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนว่าต้องการสร้างอนาคตที่ยั่งยืนด้วยการพัฒนาพลังงานสะอาดและลดการพึ่งพาพลังงานฟอสซิล นโยบายของเธอเน้นการลงทุนในพลังงานลม แสงอาทิตย์ และการวิจัยเทคโนโลยีที่ช่วยลดมลพิษ การออกแบบระบบสุขภาพ: การรักษาที่ทั่วถึงหรือระบบเสรีที่เข้าถึงได้ยาก สุขภาพเป็นอีกประเด็นที่ทุกคนต้องการให้ผู้นำมีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนและสามารถปฏิบัติได้จริง เพราะสุขภาพเป็นเรื่องที่ส่งผลกระทบโดยตรงกับชีวิตประจำวันของคนทุกคน บ้านทรัมป์: ระบบที่พึ่งพาตัวเองและเน้นตลาดเสรี ทรัมป์เชื่อในระบบตลาดเสรีและสนับสนุนให้ประชาชนรับผิดชอบค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพด้วยตัวเอง ซึ่งอาจทำให้คนที่มีกำลังซื้อเข้าถึงการรักษาที่มีคุณภาพได้ดี แต่ในขณะเดียวกัน กลุ่มคนรายได้น้อยอาจประสบปัญหาในการเข้าถึงบริการสุขภาพที่จำเป็น บ้านแฮริส: การสร้างระบบที่ให้ทุกคนเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียม นโยบายของแฮริสเน้นให้มีระบบประกันสุขภาพที่ครอบคลุมทุกคน โดยลดค่าใช้จ่ายและเพิ่มสิทธิ์ในการเข้าถึงบริการสุขภาพ เพื่อให้คนอเมริกันทุกคนไม่ว่าจะมีรายได้มากหรือน้อยก็สามารถรับการรักษาได้เท่าเทียมกัน การออกแบบเทคโนโลยี: นวัตกรรมที่เปิดกว้างหรือการจำกัดเพื่อความปลอดภัย เทคโนโลยีเป็นอีกปัจจัยที่กำหนดรูปแบบการใช้ชีวิตของเราในอนาคต ทรัมป์และแฮริสมีแนวคิดที่แตกต่างกันในเรื่องนี้ ซึ่งจะส่งผลต่อวิถีชีวิตและการทำงานของคนอเมริกันโดยตรง บ้านทรัมป์: เสรีภาพในการควบคุมสื่อและการตรวจสอบที่น้อยลง ทรัมป์มีจุดยืนที่สนับสนุนการปล่อยให้โซเชียลมีเดียและบริษัทเทคโนโลยีดำเนินการด้วยตัวเองมากขึ้น โดยลดการควบคุมของรัฐบาล เห็นได้จากกการที่ Elon Musk แสดงออกในการสนับสนุนทรัมป์อย่างเต็มที่ และจวกนโยบายของรัฐบาลเดโมแครตที่เขามองว่าเป็นการควบคุมธุรกิจมากเกินไป บ้านแฮริส: การกำกับดูแลเพื่อความปลอดภัยและสิทธิของประชาชน ฝั่งแฮริสมีวิสัยทัศน์ที่เข้มงวดกว่าในด้านการควบคุมโซเชียลมีเดียและการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล โดยเธอเห็นความสำคัญของการปกป้องประชาชนจากการละเมิดสิทธิและการแทรกแซงของข้อมูล นโยบายนี้เน้นการให้รัฐบาลเข้ามามีบทบาทในการตรวจสอบและคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งจะทำให้คนอเมริกันรู้สึกปลอดภัยมากขึ้นเมื่อต้องใช้ชีวิตในโลกดิจิทัล การออกแบบร่วมกันผ่านประชาธิปไตย สุดท้ายการเลือกตั้งคือ กระบวนการออกแบบร่วม (Co-design) ที่ใหญ่ที่สุดของสังคม เพราะทุกคนคือนักออกแบบที่มีสิทธิ์เลือกอนาคตของตัวเอง อย่างน้อยก็ในอีก 4 ปีข้างหน้า ซึ่งการตัดสินใจของเราไม่เพียงส่งผลต่อตัวเราเอง แต่ยังกระทบต่อคนรุ่นต่อไป จากผลที่ออกมาก็คงเป็นที่ประจักษ์ว่า ชาวอเมริกันส่วนใหญ่เห็นพ้องต้องกันว่าอยากจะให้อเมริกากลับมายืนอยู่ในจุดที่แข็งแกร่งของตัวเองดังเดิม ทำให้ทรัมป์เป็นประธานาธิบดีคนที่ 2 ในประวัติศาสตร์อเมริกาที่ได้กลับมาดำรงตำแหน่งสมัยที่สองแบบไม่ต่อเนื่อง ต่อจากโกรเวอร์ คลีฟแลนด์ในปี 1892 แม้ว่าจะไม่ได้เป็นแนวทางที่ดูจะสวนทางกับเทรนด์หรือแนวคิดของโลก แต่ก็ต้องยอมรับว่านี่คือ "บ้าน" ที่ชาวอเมริกันส่วนใหญ่เลือกแล้วว่าเหมาะกับตัวเอง น่าเสียดายที่สังคมไทยยังติดกับกับวังวนเดิม ๆ ของการเมืองแบบไทย ๆ ที่ไม่ได้เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง เราเลยไม่สามารถออกแบบ "บ้าน" และ "อนาคต" ของตัวเองและลูกหลานได้ เราเลยต้องอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่ผู้มีอำนาจกำหนดรูปแบบการใช้ชีวิตให้ ซึ่งก็หวังว่าสักวันหนึ่งเราจะได้ ออกแบบอนาคต และดีไซน์ชีวิตตัวเองได้จริงๆแบบคนอื่นบ้าง ติดตามข่าวสารและเรื่องราวของพวกเราได้ที่นี่ Facebook : Instagram : T hreads : Youtube
- เช็คอิน! นิทรรศการประจำ เดือนพฤศจิกายน 2567 กับบรรยากาศเย็นสบายต้อนรับลมหนาว!
พอเข้าช่วงปลายปีแบบนี้ อากาศเริ่มเย็น ฟ้าที่เคยหม่นมอง ก็ค่อย ๆ สดใส ตอนรับลมเย็นสบายของต้นหนาวที่เริ่มพัดเข้ามา... ช่วงนี้เป็นอีกหนึ่งช่วงเวลาพิเศษ ที่การเปลี่ยนผ่านของฤดูกาลพาเราไปพบกับการบรรยากาศที่เติมเต็มไอเดีย เเละความสวยงามเพื่อเป็นการเติมพลังก่อนสิ้นปี บอกเลยว่านิทรรศการในเดือนนี้ เเน่นตลอดทั้งเดือน มีให้เราได้เลือกชมเยอะมาก ๆ เดือนนี้ เลยอยากจะเเนะนำนิทรรศการที่น่าสนใจ ผ่านบรรยากาศ “ปลายฝนต้นหนาว” มาถ่ายทอดผ่านผลงานศิลปะมากมาย ทุกงานที่จัดแสดงสะท้อนเรื่องราวและความรู้สึกของช่วงเวลาที่เย็นสบายผสมความอบอุ่นไว้อย่างน่าสนใจ จะมีนิทรรศศการอะไรที่น่าสนใจบ้าง เชิญชมได้เลย นิทรรศการ Bangkok Art Biennale 2024 เทศกาลศิลปะ ระดับนานาชาติ ที่ทุกคนรอคอยกลับมาอีกครั้ง! Bangkok Art Biennale 2024 ภายใต้ธีม “Nurture Gaia” เป็นเทศกาลที่สำรวจความเชื่อมโยงระหว่างมนุษย์ และธรรมชาติผ่านผลงานศิลปะจากศิลปินชั้นนำทั่วโลก สะท้อนถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน พร้อมชวนผู้เข้าชมมองโลกในมุมใหม่ ในปีนี้ งานจัดขึ้นภายใต้แนวคิด ‘รักษา กายา’ ซึ่งเป็นการสำรวจความหมายของธรรมชาติ การเลี้ยงดู และการครุ่นคิดเกี่ยวกับนิเวศวิทยา การเมือง ความเชื่อ และสิ่งเหนือธรรมชาติ ผ่านผลงานศิลปะร่วมสมัยที่ท้าทายความคิด โดยมีผลงานศิลปะกว่า 200 ชิ้น จากศิลปินมากกว่า 76 ประเทศ ทั้งไทย, ฝรั่งเศส, ฟิลิปปินส์, ไอร์แลนด์, นอร์เวย์, เบลเยียม, อิตาลี, อังกฤษ, อเมริกัน, เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น อีกทั้งยังจัดแสดงที่ 11 สถานที่สำคัญ ทั่วกรุงเทพฯ วันที่: 3 ต.ค. 2567 - 25 ก.พ 2568 เวลา: 10:00 - 19:00 น. (ปิดวันจันทร์) อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่: Bangkok Art Biennale นิทรรศการ Road to Net Zero ครั้งที่ 2 : Regenerative Materials นิทรรศการนี้มาในธีม “Regenerative Materials” โดยจัดขึ้นเป็นครั้งที่ 2 ซึ่งครั้งนี้นำเสนอวัสดุและเทคโนโลยีที่ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง โดยมุ่งเน้นการออกแบบที่เป็นมิตรกับโลก และการสร้างวัสดุทางเลือกที่มีคาร์บอนต่ำ เพื่อเป็นการต่อยอดการพัฒนาในสาขาออกแบบสู่อนาคตอย่างยั่งยืน อีกทั้งยังรวบรวมงานสร้างสรรค์จากผู้ประกอบการไทยกว่า 23 ราย ที่มาพร้อมวัสดุและนวัตกรรมการผลิตแนวใหม่ เช่น การแปรรูปขยะกระดาษให้กลายเป็นงานศิลปะสุดประณีต แก้ว PLA ที่สามารถนำมาขึ้นรูปใหม่ได้ รวมถึงเศษไม้และขี้เลื่อยที่ถูกต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กและเฟอร์นิเจอร์ที่มมีความยั่งยืน และมีโซนจัดแสดงวัสดุคาร์บอนต่ำจากนานาประเทศในฐานข้อมูล Material ConneXion ซึ่งนำตัวอย่างจาก 10 แบรนด์จากต่างชาติชั้นนำมาให้เราได้อัปเดตเทรนด์วัสดุทางเลือกก่อนใคร งใครที่มองหาแรงบันดาลใจให้หรือต้องการสร้างสรรค์ผลงานด้วยวัสดุที่เป็นมิตรต่อโลก แนะนำมาชมนิทรรศการนี้เลย วันที่: 10 ต.ค. 2567 - 19 ม.ค 2568 เวลา: 10:30 - 19:00 น. (ปิด วันจันทร์) พิกัด: TCDC Bangkok นิทรรศการ Galleriies' Nights 2024 งานนี้จัดขึ้นโดยสถานเอกอัครราชทูตฝรั่งเศสประจำประเทศไทย โดยได้รับแรงบันดาลใจจากงาน Sleepless Night ในฝรั่งเศส ครั้งที่ 11 ซึ่งจัดแสดงงานศิลปะตลอดทั้งคืน โดยในประเทศไทยจัดถึง 2 คืนในปีนี้ พร้อมกับเส้นทางที่แตกต่างกันในแต่ละคืนอีกทั้งตัวงานยังเข้าชมฟรี แถมยังมีบริการ ‘MuvMi’ รถตุ๊กตุ๊กไฟฟ้า เพื่อเดินทางไปยังพื้นที่จัดงานในเเต่ละพื้นที่ เตรียมตัวรับลมหนาวพร้อมกับเสพผลงานกับเเบบเต็มอิ่มกันไปเลย นอกจากนี้ หลังจากเสร็จสิ้นการจัดเเสดงในกรุงเทพฯ แล้ว งานนี้จะเดินทางขึ้นเหนือไปที่จังหวัดเชียงใหม่อีกด้วย ใครที่สนใจเตรียมตัวออกมาเดินเล่นชมผลงานศิลปะในอากาศเย็น ๆ กันได้เลย พิกัด และ วันที่: 22 พ.ย. 2567 - แกลเลอรีในย่านสีลม, สาทร, ริมแม่น้ำเจ้าพระยา และโครงการวัน แบงค็อก 23 พ.ย.2567 - แกลเลอรีในย่านอารีย์, ปทุมวัน, สุขุมวิท และ BACC กับศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ 29-30 พ.ย. 2567 - ที่ใจกลางเมืองเชียงใหม่ สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่: Sawasdee France นิทรรศการ CITY PATTERN นิทรรศการ "CITY PATTERN: Textile Designs of Yang Tzu Hsing & The Story of Gimgoanheng" โดยได้รับความร่วมมือระหว่าง MATDOT Art Center และ “Gimgoanheng” แบรนด์ผ้าชื่อดังในไต้หวัน ที่เปิดมายาวนานกว่า 101 ปี นำเสนอผลงานการออกแบบลายผ้า ภาพถ่าย และบันทึกประวัติศาสตร์ของ Yang Tzu Hsing นักออกแบบรุ่นที่ 4 ของ Gimgoanheng ที่ได้สืบทอดภูมิปัญญาผ้าทอของครอบครัว และแปรเปลี่ยนองค์ประกอบทางวัฒนธรรมต่างๆ ของไต้หวัน ให้กลายเป็นลวดลายผ้าที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ นอกจากลายผ้าทรงคุณค่าแล้ว ยังมีการจัดแสดงภาพถ่ายครอบครัวและเอกสารทางประวัติศาสตร์ของ Gimgoanheng เพื่อให้ผู้ชมเข้าใจถึงความสำคัญของงานทอผ้าในสังคมไต้หวันอีกด้วย วันที่: 11 พ.ย. - 1 ธ.ค. 2567 เวลา: 09.00 - 20.00 น พิกัด: MATDOT Art Center พิธีเปิดนิทรรศการ: 11 พ.ย. 2567 เวลา 18.00 น. ศิลปินพูดคุย: 11 พ.ย. 2567 เวลา 15.00 น. นิทรรศการ Sinking and the Paradox of Staying Afloat Sinking and the Paradox of Staying Afloat: นิทรรศการศิลปะสะท้อนการอนุรักษ์และทำลายธรรมชาติ นิทรรศการนี้รวมผลงานจาก 7 ศิลปินที่แสดงความย้อนแย้งระหว่างการพยายามรักษาสิ่งแวดล้อม ขณะที่โลกยังคงเผชิญกับการทำลายทรัพยากรอย่างต่อเนื่อง ชื่อ Sinking and Staying Afloat" เปรียบเสมือนคำถามว่า เราจะยืนหยัดรักษาสมดุลท่ามกลางความเสื่อมโทรมของธรรมชาติได้อย่างไร นิทรรศการนี้ชวนให้เราทบทวนการอยู่ร่วมกับธรรมชาติด้วยความเคารพ ก่อนจะสายเกินไป พิกัด: 333 Gallery Warehouse30, ซอยเจริญกรุง 30 วันที่: วันนี้ - 3 พฤศจิกายน 2567 เวลา: 11.00 – 20.00 น. (ปิดวันจันทร์) นิทรรศการ วงกตเวลา Time’s Labyrinth "วงกตเวลา" สะท้อนการเติบโตของเยาวชนท่ามกลางความท้าทายทั้งการระบาดของโควิด-19 วิกฤตเศรษฐกิจ และเหตุการณ์การเมือง ศิลปินรุ่นใหม่ถ่ายทอดอารมณ์ ความคิด และความหวังที่จะเปลี่ยนแปลงสังคมผ่านศิลปะภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหว นิทรรศการนี้เปิดพื้นที่ให้เห็นถึงพลังสร้างสรรค์ในยุคแห่งความเปลี่ยนแปลง ซึ่งผลงานที่จัดแสดงนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ “กางภาพ” ของนักศึกษา คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วันที่: 3 พ.ย. - 1 ธ.ค. 2567 เวลา: 10:00 - 19:00 น. พิธีเปิด: 3 พฤศจิกายน 2567 เวลา 13.30 น. พิกัด: หอศิลป์ร่วมสมัยราชดำเนิน นิทรรศการ Awakening Bangkok 2024 Awakening Bangkok 2024 กลับมาอีกครั้งกับเทศกาลแสงไฟและศิลปะดิจิทัลประจำปีที่พร้อมปลุกย่านประวัติศาสตร์พระนครในธีม “One Light, One Rises | ปลุกไฟย่าน เติมไฟคน” โดยในปีนี้จะพาคุณไปสัมผัสบรรยากาศใหม่ ๆ ของย่านเก่าแก่ ผ่านแสงไฟกว่า 35 ผลงาน ที่ออกแบบโดยศิลปินชาวไทยและนานาชาติ รวมถึงนิสิตนักศึกษาจากหลายสถาบัน โดยเส้นทางการชมงานแบ่งออกเป็น 4 เส้นทางหลัก ซึ่งประกอบด้วย 4 ธีมคือ Sustainability, Prosperity, Inclusivity, และ Positivity วันที่: 8 - 17 พ.ย. 2567 เวลา: 18:00 - 23:00 น. พิกัด: ยอดพิมานริเวอร์วอล์ก, มิวเซียมสยาม, สวนสราญรมย์, ลานคนเมือง, และสวนรมณีนาถ Homecoming พาใจกลับบ้าน” นิทรรศการ “Homecoming พาใจกลับบ้าน” จัดโดยบริษัท Eyedropper Fill และ MMAD: MunMun Art Destination ตั้งใจสร้างพื้นที่เพื่อส่งเสริมสุขภาพจิตของคนไทย โดยการผสมผสาน Digital Art กับการออกแบบพื้นที่เชิงบำบัด (Therapeutic Space) ให้เป็นประสบการณ์ที่เต็มไปด้วยแสง สี เสียง และสัมผัส เพื่อให้ผู้เข้าชมเชื่อมโยงกับอารมณ์ภายในและฟื้นฟูจิตใจ นิทรรศการนี้มีหัวใจหลักคือการสร้างความเมตตากรุณาต่อตัวเอง (Self-compassion) ภายใต้แนวคิดด้านจิตวิทยา พร้อมเนื้อหาที่ช่วยเสริมสร้างความตระหนักรู้ด้านสุขภาพจิต นอกจากนี้ นิทรรศการยังทำหน้าที่เป็นพื้นที่ที่ชวนให้ทุกคนหันกลับมาดูแลจิตใจตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการฟื้นฟูจากความเหนื่อยล้าหรือการค้นพบตัวตนในมุมใหม่ ๆ ใครที่หาที่ฮีลใจ สามารถเเวะมา 'พาใจกลับบ้าน' ที่จัดแสดงตลอด 1 ปีไปจนถึงปีหน้าเลย วันที่: 12 ก.ค. 2567 - 12 ก.ค. 2568 เวลา: 11.00 - 20.00 น. พิกัด: MMAD ชั้น 2 ซีคอนสแควร์ ศรีนครินทร์ ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ พาใจกลับบ้าน Homecoming ======================== ติดตามข่าวสารและเรื่องราวของพวกเราได้ที่นี่ Facebook : Instagram : T hreads : Youtube
- มารู้จักกับ 8 สถาปนิกทั่วโลก ที่สร้างแรงบันดาลใจ และเป็นที่พูดถึงในวงการออกแบบยุคใหม่กันเถอะ!
ถ้าพูดถึงสถาปัตยกรรมยุคใหม่ และร่วมสมัย หลาย ๆ คนอาจนึกถึงอาคารที่แปลกตา และดีไซน์ที่สวยงามใช่ไหม? แต่ทุกคนรู้ไหมคะ ว่ามีสถาปนิกหลายคนที่เป็นต้นแบบของการออกแบบตึกอาคารที่มีความน่าสนใจ และอกจากกรอบของการออกแบบเดิม ๆ ซึ่งถือเป็นที่ถูกพูดถึงในวงการออกแบบอย่างแพร่หลาย โดยนักออกแบบแต่ละคนมีแนวคิดที่โดดเด่น แถมยังท้าทายกฎเกณฑ์เดิม ๆ และสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนรุ่นใหม่ในวงการออกแบบอีกด้วย! บทความนี้จะพาไปรู้จักกับ 8 สถาปนิกที่มีชื่อเสียง พร้อมกับผลงานที่โดดเด่น จะมีใครบ้างไปดูกันเลยค่ะ! รวม 8 สถาปนิกผู้เปลี่ยนโลกของการออกแบบอาคารสู่มุมมองใหม่ Le Corbusier (เลอ กอร์บูซีเย) ถ้าพูดถึงสถาปนิกที่เป็นไอดอลของคนรุ่นหลัง ชื่อของ Le Corbusier ต้องติดอันดับแน่นอน! เป็นเจ้าของผลงานที่ได้รับการขึ้นบัญชีเป็นมรดกโลกถึง 17 แห่ง ล่าสุด! ผลงานของเขาถือว่ามีความพิเศษทางวัฒนธรรมอย่างมาก โดยชื่อจริงคือ ชาร์ล-เอดูอาร์ จาเนอเร-กรี (Charles-Édouard Jeanneret-Gris) เป็นสถาปนิกชาวสวิสที่เปลี่ยนสัญชาติเป็นฝรั่งเศสเมื่ออายุ 43 ปี นอกจากนี้ ยังเป็นหนึ่งในผู้นำ แนวคิดสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ (Modern Movement) อีกทั้งยังได้เดินทางไปหลายประเทศในยุโรปและได้รับแรงบันดาลใจจากโบราณสถาน เช่น วิหารพาร์เธนอน ในกรีซ เขาเชื่อในความสำคัญของสัดส่วนและความงามทางคณิตศาสตร์ จนกลายเป็นที่รู้จักในฐานะ "เจ้าพ่อสถาปัตยกรรมสมัยใหม่" แนวคิดการออกแบบ แนวคิด Five Points of Architecture" คือพื้นฐานสำคัญที่ได้สร้างขึ้น โดยมีจุดเด่นที่เสาค้ำ (Pilotis), หลังคาราบ (Flat Roof), พื้นที่ภายในที่เปิดโล่ง (Open Floor Plan), หน้าต่างแนวนอน (Horizontal Windows), และผนังภายนอกที่อิสระ (Free Facade) โดยมองว่าอาคารควรเป็น “เครื่องจักรเพื่อการอยู่อาศัย” (Machines for Living) เพื่อให้อาคารทำหน้าที่ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้มากที่สุด ผลงานเด่น Villa Savoye ในฝรั่งเศส ที่เป็นตัวอย่างที่สมบูรณ์ของการออกแบบสมัยใหม่ด้วยเส้นโครงสร้างที่เรียบง่ายและการออกแบบที่เข้ากับธรรมชาติอย่างลงตัว Unité d'Habitation ในมาร์กเซย ซึ่งเป็นโครงการที่อยู่อาศัยแบบรวม ที่แสดงถึงสไตล์ Brutalism โดยผสานอาคารเข้ากับพื้นที่การใช้งานสาธารณะ Louis Kahn (หลุยส์ คาห์น) สถาปนิกชาวอเมริกัน เชื้อสายเอสโตเนีย และได้ย้ายไปฟิลาเดลเฟีย สหรัฐอเมริกา หลังจากนั้นได้เข้าไปศึกษาที่มหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย และได้พัฒนาสไตล์การออกแบบที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก ซากโบราณ โดยมุ่งมั่นที่จะสร้างสถาปัตยกรรมที่ดูคลาสสิกและให้ความรู้สึกสงบนิ่ง แนวคิดการออกแบบ แนวคิดของคาห์นคือ “เผยความจริงของวัสดุ” ที่ใช้ ซึ่งมักเป็นคอนกรีตและหินรูปทรงเรขาคณิตที่แข็งแรง มีการจัดแสงและเงาทำให้อาคารที่ออกแบบดูมีความหมายและมีพลังในการสื่อถึงสภาพอารมณ์ อีกทั้งยังเน้นการออกแบบที่มีความคงทนถาวรและสร้างสถาปัตยกรรมที่เป็นสถานที่ให้ผู้คนมาพบกัน ผลงานเด่น Salk Institute ในแคลิฟอร์เนีย เป็นอาคารศูนย์วิจัยที่มีบรรยากาศเงียบสงบ และมีเส้นน้ำที่เชื่อมโยงไปสู่ทิวทัศน์ทะเล National Assembly Building ในกรุงธากา ประเทศบังกลาเทศ ซึ่งผลงานนี้ถือว่าเป็นตัวอย่างของการใช้แสงเงาเพื่อสร้างบรรยากาศที่มีความยิ่งใหญ่และเป็นทางการ Oscar Niemeyer (ออสการ์ นีไมเออร์) สถาปนิกชาวบราซิลที่มีสไตล์การออกแบบที่เน้นเส้นโค้ง โดยได้รับแรงบันดาลใจมาจากธรรมชาติและความสวยงามของภูมิประเทศบราซิล จบการศึกษาที่ Escola Nacional de Belas Artes ก่อนจะกลายเป็นบุคคลสำคัญในการออกแบบเมืองบราซีเลีย แนวคิดการออกแบบ เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญในการใช้คอนกรีตเสริมเหล็กเพื่อสร้างโครงสร้างที่ดูเบาและลื่นไหล ผลงานของเขามีลักษณะที่เน้นความเป็นอิสระและเปิดกว้าง โดยมุ่งเน้นให้เป็นสถานที่สาธารณะเพื่อชุมชน ผลงานเด่น Cathedral of Brasília เป็นอาคารโบสถ์ที่ออกแบบอย่างล้ำยุค สร้างความรู้สึกโปร่งโล่ง Niterói Contemporary Art Museum ซึ่งตั้งอยู่บนหน้าผาราวกับกำลังลอยอยู่บนทะเล ตัวอาคารเชื่อมโยงกับธรรมชาติได้อย่างลงตัว Frank Lloyd Wright (แฟรงค์ ลอยด์ ไรต์) สถาปนิกชาวอเมริกันที่มีชื่อเสียงที่สุดในศตวรรษที่ 20! คนนี้ก็ถือว่าเป็นอีก 1 ตำนานที่สร้างผลงานไว้โดดเด่นสุด ๆ ซึ่งตัวเขาเคยทำงานกับ หลุยส์ ซัลลิแวน ในชิคาโก อีกทั้งยังเป็นผู้มีอิทธิพลสำคัญต่อการออกแบบของอีกด้วย (ตัวพ่อสุด ๆ ) ตัวไรต์มมีความเชื่อมั่นใน “สถาปัตยกรรมเชิงธรรมชาติ” ที่ผสานอาคารเข้ากับธรรมชาติอย่างกลมกลืน แนวคิดการออกแบบ เขามองว่าสถาปัตยกรรมควรสะท้อนวิถีชีวิตและคุณค่าของผู้คนในยุคนั้น และต้องผสานเข้ากับธรรมชาติอย่างไร้รอยต่อ อาคารของเขามักใช้วัสดุจากธรรมชาติและมีพื้นที่เปิดโล่งที่ไหลลื่น ผลงานเด่น Fallingwater บ้านที่สร้างบนธารน้ำตกในรัฐเพนซิลเวเนียที่แสดงถึงการผสานธรรมชาติเข้ากับตัวอาคาร และ Guggenheim Museum ใ นนิวยอร์ก ที่มีลักษณะเป็นทรงสไปรัลเพื่อสร้างประสบการณ์การชมงานศิลปะในรูปแบบที่ไม่เหมือนใคร Norman Foster (นอร์แมน ฟอสเตอร์ ) สถาปนิกชาวอังกฤษที่มีชื่อเสียงด้านการออกแบบที่ยั่งยืนและล้ำสมัย ฟอสเตอร์เริ่มการศึกษาที่มหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ ก่อนที่จะเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยเยล โดยฟอสเตอร์เป็นผู้บุกเบิกด้านการใช้เทคโนโลยีในการออกแบบอาคาร แนวคิดการออกแบบ เน้นในเรื่องของการผสานเทคโนโลยีทันสมัย ให้เข้ากับการออกแบบอาคารที่มีประสิทธิภาพสูง โครงสร้างของเขามักมีความยืดหยุ่นและตอบโจทย์การใช้พลังงานอย่างยั่งยืน ผลงานเด่น The Gherkin ในลอนดอน อาคารทรงกระบอกที่ออกแบบเพื่อการระบายอากาศ Millau Viaduct สะพานที่สูงที่สุดในโลกในฝรั่งเศส ซึ่งผสานความงามและเทคโนโลยีวิศวกรรมได้อย่างงดงาม Tadao Ando (ทาดาโอะ อันโดะ ) ทาดาโอะ อันโดะ เป็นสถาปนิกชาวญี่ปุ่นที่เรียนรู้วิชาสถาปัตยกรรมด้วยตัวเองหลังจากเคยเป็นนักมวย การเดินทางไปยังหลายประเทศช่วยให้เขาพัฒนาสไตล์การออกแบบที่มีลักษณะเฉพาะ แนวคิดการออกแบบ ผลงานของอันโดะเน้นความเรียบง่ายแบบญี่ปุ่นและการสร้างบรรยากาศสงบผ่านคอนกรีตและแสงธรรมชาติ ความว่างเปล่าและเงาเป็นองค์ประกอบที่สำคัญ ผลงานเด่น Church of Light ในโอซาก้า เป็นโบสถ์ที่ใช้แสงธรรมชาติเพื่อสร้างบรรยากาศศักดิ์สิทธิ์ Naoshima Art Museum ที่ตั้งอยู่บนเกาะในญี่ปุ่น ผสานธรรมชาติกับงานสถาปัตยกรรมอย่างกลมกลืน Zaha Hadid (ซาฮา ฮาดิด) ซาฮา ฮาดิด เป็นสถาปนิกหญิงชาวอิรัก ที่เริ่มต้นจากการเรียนคณิตศาสตร์ ก่อนจะสนใจด้านสถาปัตยกรรม และไปศึกษาต่อที่ Architectural Association ในลอนดอน เธอมีชื่อเสียงในด้านการออกแบบที่ท้าทายขอบเขตเดิม ๆ ของสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ด้วยรูปทรงโค้งและไหลลื่น และเธอยังเป็นผู้หญิงคนแรกที่ได้รับรางวัล Pritzker ซึ่งเป็นรางวัลสูงสุดในวงการสถาปัตยกรรม แนวคิดการออกแบบ ผลงานของฮาดิดโดดเด่นที่การใช้เส้นสายที่ โค้งเว้าและเคลื่อนไหว ซึ่งสร้างบรรยากาศที่ดูเหนือจริง โดยเน้นการสร้างพื้นที่ที่ให้ผู้เข้าชมมีประสบการณ์ใหม่ ผ่านรูปทรงและองค์ประกอบที่ไม่ยึดติดกับกรอบเดิม ๆ ของการออกแบบ ผลงานเด่น MAXXI Museum เป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะสมัยใหม่และร่วมสมัยที่ตั้งอยู่ในกรุงโรม ที่ออกแบบด้วยการใช้เส้นสายโค้งและะโครงสร้างที่ซับซ้อน และสร้างความต่อเนื่องในการเคลื่อนไหวของผู้เข้าชมอย่างไร้รอยต่อ Heydar Aliyev Center ในบากู อาเซอร์ไบจาน ซึ่งมีรูปทรงโค้งคล้ายคลื่นที่เข้ากับทิวทัศน์และมีโครงสร้างที่ดูเบาและโปร่ง Bjarke Ingels (บิยาร์ก อิงเกลส์ ) บียาร์ค อิงเกลส์ เป็นสถาปนิกชาวเดนมาร์กที่โดดเด่นในยุคปัจจุบัน เขาศึกษาที่ Royal Danish Academy of Fine Arts และ Technica Superior de Arquitectura ในบาร์เซโลนา และเป็นที่รู้จักจากการออกแบบที่สร้างสรรค์และใส่ใจสิ่งแวดล้อม เขาก่อตั้ง บริษัทสถาปัตยกรรมของตนเองชื่อว่า Bjarke Ingels Group (BIG) ซึ่งเป็นบริษัทที่สร้างชื่อเสียงระดับโลกในด้านการออกแบบที่ในโดดเด่นในเรื่องของนวัตกรรมและความยั่งยืน แนวคิดการออกแบบ อิงเกลส์อธิบายแนวคิดของเขาว่าเป็น “Pragmatic Utopianism” ซึ่งหมายถึงการออกแบบที่พูดถึงการใช้งานที่ยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อีกทั้งมุ่งเน้นการออกแบบอาคารที่เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติและสามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างหลากหลาย ผลงานเด่น 8 House ในโคเปนเฮเกน เป็นโครงการที่อยู่อาศัยซึ่งออกแบบให้มีทางเดินและทางจักรยานที่ต่อเนื่องกันทั่วทั้งอาคาร เพื่อส่งเสริมการใช้พื้นที่ร่วมกันและการอยู่อาศัยแบบชุมชน Audemars Piguet Museum ในสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งตัวอาคารถูกออกแบบให้มีโครงสร้างที่ไหลลื่นกลมกลืนกับธรรมชาติอย่างสวยงามทั้งอาคาร เพื่อส่งเสริมการใช้พื้นที่ร่วมกันและการอยู่อาศัยแบบชุมชน Audemars Piguet Museum ในสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งตัวอาคารถูกออกแบบให้มีโครงสร้างที่ไหลลื่นกลมกลืนกับธรรมชาติอย่างสวยงาม และทั้งหมดนี้ คือสถาปนิกทั้ง 8 คน ที่มีผลงานที่โดดเด่น นอกจากจะออกแบบอาคารที่มีความสวยงามแล้ว ยังมีแนวคิดที่น่าสนใจสามารถนำไปปรับใช้กับงานออกแบบได้อีกเยอะแยกเลย ทั้งในเรื่องของแนวคามคิด และงานดีไซน์ ซึ่งขอยกให้เป็น No.1 ของวงการสถาปัตยกรรมกันเลยทีเดียว เพราะเป็นที่ผลงานสร้างแรงบันดาลใจให้กับนักออกแบบรุ่นใหม่ ให้มองเห็นความสำคัญของการออกแบบ ที่ไม่เพียงแต่สวย แต่ยังสามารถตอบโจทย์การใช้ชีวิตได้ดีอีกด้วย ขอบคุณที่ติดตามมาถึงตรงนี้นะคะ ติดตามข่าวสารและเรื่องราวของพวกเราได้ที่นี่ Facebook : Instagram : T hreads : Youtube
- ห้องโล่ง เสียงก้อง! วิธีลดเสียงสะท้อนด้วยการตกแต่งห้อง ที่ง่าย และมีสไตล์
ทุกคนเคยสังเกตกันมั้ย เมื่อเราย้ายเข้ามาในห้องใหม่ โดยเฉพาะห้องเปล่า ๆ ที่ยังไม่ได้ตกแต่งอะไรมากมาย มีพื้นที่โล่ง ๆ และพื้นแข็ง ๆ อาจทำให้เกิดปัญหา "เสียงก้อง" ... ซึ่งเสียงมักจะสะท้อน และเกิดเสียงก้องอยู่เสมอ? และ เสียงที่ก้องในห้องที่ยังไม่มีเฟอร์นิเจอร์ หรือวัสดุดูดซับเสียง ทำให้สร้างความกังวนใจเป็นอย่างมาก ไม่เพียงแค่ทำให้บรรยากาศในห้องไม่น่าอยู่ แต่ยังอาจรบกวนการทำงาน หรือการพักผ่อนของเรา เพราะเสียงจะก้องไปทั่วห้องนั่นเอง สาเหตุของเสียงก้อง เกิดจาก… เสียงก้อง เกิดจากการสะท้อนของเสียงที่กระทบกับพื้นผิวแข็งภายในห้อง เช่น พื้น ผนัง และเพดาน เมื่อห้องไม่มีเฟอร์นิเจอร์ หรือวัสดุที่ดูดซับเสียง เสียงจะสะท้อนกลับไปมา ทำให้เกิด เสียงก้อง หรือ รีเวิร์บ (reverb) ปัญหานี้พบได้บ่อยในห้องที่มีพื้นแข็ง และผนังเรียบ ๆ ที่ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อลดเสียงสะท้อน ใครที่กังวนปัญหานี้อยู่ บอกเลยว่าเราสามารถแก้ไขได้ง่าย ๆ ด้วยการตกแต่งห้องให้เหมาะสมกับการใช้งานภายในห้องนั้น ๆ และเพิ่มวัสดุที่ช่วยลดเสียงก้อง เสียงสะท้อน มาดูกันว่ามีวิธีไหนบ้างที่สามารถแก้ไขปัญหาเสียงก้องนี้ได้ วิธี ลดเสียงก้อง เสียงสะท้อน ด้วยการตกแต่งห้อง… แน่นอนอยู่แล้ว ว่าถ้ามีห้องโล่ง ๆ ห้องเปล่า ๆ ยังไงเสียงมันก็ต้องก้องเป็นเรื่องธรรมดา… ซึ่งแก้ปัญหาได้ง่าย ๆ เลย ก็คือการ การตกแต่งห้องของเรานั่นเอง เพื่อช่วยลดเสียงก้อง อีกทั้งยังได้สร้างบรรยกาศในห้องของเราได้อีกด้วย ซึ่งสามารถทำได้หลายวิธีมาก ๆ ขึ้นอยู่กับงบประมาณ และสไตล์ที่เราต้องการ มาดูกันว่ามีวิธีไหนที่น่าสนใจบ้าง 1.ปูพื้นด้วยวัสดุที่มีความนุ่มนวล วัสดุที่ว่า นั่นคือ พรม เป็นวิธีที่นิยมใช้เพื่อลดเสียงก้องในห้อง เพราะพรมมีเนื้อผ้านุ่ม และสามารถดูดซับเสียงได้ดี ซึ่งพรมจะทำหน้าที่เป็นตัวกลางที่ช่วยดูดซับคลื่นเสียงที่กระทบพื้น ทำให้คลื่นเสียงนั้นไม่สะท้อนกลับขึ้นมา ความหนาแน่น และความหนาของพรมมีผลโดยตรงต่อการดูดซับเสียง พรมที่หนากว่าหรือพรมขนยาวจะสามารถดูดซับเสียงได้ดีกว่าพรมบาง ๆ หรือพรมขนสั้น เนื่องจากพรมขนยาวมีพื้นที่ในการดักจับคลื่นเสียงมากกว่า 2.ติดฝ้าเพดานเล่นระดับ สำหรับ ฝ้าเพดานแบบเล่นระดับ สามารถช่วยลดเสียงก้องโดยกระจายเสียงออกในหลายทิศทาง ทำให้เสียงไม่สะท้อนกลับไปมาระหว่างพื้น และเพดาน นอกจากลดเสียงก้องแล้ว ยังช่วยเพิ่มความสวยงามให้ห้องด้วยดีไซน์หลากหลาย สามารถติดตั้งไฟซ่อนเพื่อเพิ่มบรรยากาศที่อบอุ่น วัสดุที่ใช้ควรมีคุณสมบัติในการดูดซับเสียง เช่น ยิปซั่ม ไม้ระแนง การใช้ ไม้ระแนงในการตกแต่งเพดาน จะช่วยเพิ่มความอบอุ่น และความสวยงาม นอกจากจะสร้างความเป็นธรรมชาติแล้ว ไม้ระแนงยังสามารถดูดซับเสียงได้ดีเลย 3.การใช้ชั้นหนังสือ หรือชั้นวางของติดผนัง อีกหนึ่งวิธี ที่หลาย ๆ คนนิยมใช้กัน นั้นคือการเพิ่มชั้นหนังสือ หรือชั้นวางของติดผนังที่สามารถช่วยดูดซับเสียง และลดการสะท้อนได้ หากชั้นหนังสือเต็มไปด้วยหนังสือหรือของประดับต่าง ๆ ได้ทั้งความสวยงาม อีกทั้งจยังเพิ่มประสิทธิภาพในการดูดซับเสียงในห้องของเราได้อีกด้วยนะ 4.เลือกใช้เฟอร์นิเจอร์นุ่ม ๆ มาจัดวางตกแต่ง ใครที่เป็นสายพักผ่อน น่าจะชอบการแก้ปัญหาวิธีนี้ เพราะการเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์นุ่ม ๆ อย่างโซฟา เก้าอี้ที่มีเบาะ หมอนอิง หรือพรม เป็นวิธีที่ง่ายและได้ผลในการลดเสียงก้องในห้อง เพราะวัสดุที่นุ่มจะช่วยดูดซับเสียงแทนที่จะสะท้อนกลับ การจัดวางเฟอร์นิเจอร์ในจุดต่าง ๆ ของห้องยังช่วยให้เสียงไม่สะท้อนไปมามากเกินไป ทำให้บรรยากาศในห้องเงียบสงบ และน่าอยู่มากขึ้น 5.การติดตั้งแผ่นซับเสียง แผ่นซับเสียงมีให้เลือกหลากหลายรูปแบบ ทั้งแบบแผ่นโฟม แผ่นผ้า ที่ติดตั้งง่าย และมีประสิทธิภาพในการ ลดเสียงก้องได้ดี สามารถใช้ตกแต่งห้องได้หลายสไตล์ ซึ่งส่วนมากเราจะเห็นแผ่นซับเสียงพวกนี้ ที่ใช้ในห้องอัดเสียง แต่จริง ๆ แล้ว ห้องโล่ง ๆ ที่มี ผนังเรียบ และแข็ง ที่สามารถสะท้อนเสียงได้ง่าย ถ้าเราเลือกวัสดุที่มีพื้นผิวไม่สม่ำเสมอ หรือติดตั้งแผ่นซับเสียงที่ดี เราจะสามารถลดการสะท้อนได้ แถมยังได้ตกแต่งห้องไปในตัว และอีกหนึ่งวัสดุที่น่าสนใจ ในการใช้ตกแต่งผนังนั่นคือ ‘ไม้ระแนงอะคูสติก’ ที่ถือว่าวัสดุตกแต่งห้องที่ได้รับความนิยมในปัจจุบันมาก ๆ ไม่เพียงแต่เพิ่มความสวยงามให้กับบ้าน แต่ยังช่วยสร้างบรรยากาศอบอุ่น และทันสมัยสามารถติดได้หลายแบบ ไม่ว่าจะเป็นติดกับผนัง เฟอร์นิเจอร์ บนเพดาน ก็สามารถติดได้ แถมยังติดตั้งง่าย ลดเสียงสะท้อนได้อีกด้วย การลดเสียงก้องในห้องทำได้หลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการเลือกวัสดุปูพื้น ตกแต่งผนัง ติดตั้งฝ้าเพดาน หรือการติด ‘ไม้ระแนงอะคูสติก’ ซึ่งทางแบรนด์ VERTiCO ถือว่าเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดี ที่ช่วยปรับสมดุลเสียงภายในห้อง ลดเสียงสะท้อน ติดตั้งง่าย รวดเร็ว ซึ่งวิธีต่าง ๆ ที่ได้แนะนำไป ไม่เพียงแต่ช่วยลดเสียงก้อง แต่ยังช่วยสร้างบรรยากาศที่ดีขึ้น เราสามารถเลือกวิธีการตกแต่งที่เหมาะสมกับการใช้งาน และตามสไตล์ของเรา เพียงเท่านี้ห้องของเราก็จะน่าอยู่มากขึ้น The Collective Studio Co., Ltd. Architectural & Interior Design www.ctstu.com Tel. 094 442 4652 Email: collectivetalk@gmail.com ติดตามข่าวสารและเรื่องราวที่น่าสนใจของพวกเราได้ที่นี่ Line : Facebook : Instagram : Twitter : Website : Youtube
- พื้นไม้ประเภทไหน? ที่เหมาะกับบ้านคุณ
หลายคนคงมีคำถามเกิดขึ้นในใจว่า "อยากมีบ้านสักหลัง แต่เราจะเลือกวัสดุปูพื้นยังไงดีนะ??" หรือแม้แต่ตอนที่เราไปเลือกซื้อบ้าน แล้วเจอพื้นลักษณะนั้นๆ "มันจะคงทนหรือเปล่านะ??" บทความนี้จะคลายข้อสงสัยของทุกคนให้เอง เราเชื่อว่าทุกคนมีความทรงจำเกี่ยวกับพื้นต่างกันตามประสบการณ์ที่เกิดขึ้นและความชอบของแต่ละบุคคล สมัยก่อนที่เราเห็นก็จะมีไม้จริง ไม้ปาร์เกต์ กระเบื้องต่างๆ หินอ่อน เป็นต้น แต่ในปัจจุบัน เรามีทางเลือกมากมายในการเลือกใช้ให้เหมาะสมกับความต้องการและการใช้งาน พื้นไม้ในปัจจุบันถูกแบ่งออกเป็นหลายประเภทมากๆ 1.พื้นไม้จริง 2.ไม้เอ็นจิเนียร์ 3.ไวนิล (แบบติดกาว/แบบคลิกล็อค) 4.ลามิเนต 5.SPC 6.กระเบื้องเซรามิค/แกรนิโต้ เรามาเริ่มกับประเภทแรก "พื้นไม้จริง" ที่เราคุ้นเคยกันดีกว่า พื้นไม้จริง ของแท้ย่อมแสดงถึงสัจจะวัสดุได้ดีที่สุด ไม้จริงจะให้ความรู้สึกอบอุ่นและลวดลายสวยงามดูเป็นธรรมชาติ ไม้ส่วนใหญ่ที่นิยมนำมาใช้ทำพื้นจะเป็นไม้เนื้อแข็ง เช่น ไม้แดง ไม้ประดู่ ไม้มะค่า และไม้สักมีความแข็งแรงทนทาน แต่ไม้จริงจะมีการยืดหดตามสภาพอากาศ รวมถึงข้อจำกัดเรื่องสีของไม้เพราะปัจจุบันไม้ค่อนข้างหาได้ยากกว่าสมัยก่อนมาก และยังมีปัญหาเรื่องปลวกตามมาอีกด้วย ราคาของไม้จริงอยู่ที่ประมาณ ตารางเมตรละ 3,500 - 9000 บาท เลือกได้หลายแบบ ทั้งที่ซื้อจากร้านไม้โดยตรงให้ช่างทำ หรือไม้ที่มีแบรนด์ เช่น TS-Teak เป็นต้น ประเภทที่ 2 ไม้เอ็นจิเนียร์ พื้นไม้เอ็นจิเนียร์ ไม้เอ็นจิเนียร์จะมีความหนาประมาณ 3 มม. เกิดจากการนำแผ่นไม้จริงบางๆ หลายแผ่นมาวางซ้อนทับโดยทำมุมไขว้กันไปมา เพื่อสร้างความแข็งแรง สีสันมีความหลากหลาย ไม้เอ็นจิเนียร์ที่ขัดทำสีเสร็จแล้วจะสามารถติดตั้งหน้างานได้เลย และหากชำรุดสามารถเปลี่ยนเฉพาะแผ่นได้ แม้ว่าตัววัสดุชิ้นนี้จะทำจากไม้จริงแต่ก็ไม่สามารถขัดผิวหน้าทำสีใหม่ได้เหมือนไม้จริง หากต้องการติดตั้งไม้ประเภทนี้ควรเลือกยี่ห้อที่มีการเคลือบผิวหน้าที่ดีและทนทานต่อการใช้งาน ราคาของไม้เอ็นจิเนียร์จะเริ่มต้น 1,190 บาท ประเภทที่ 3 ไวนิล (แบบติดกาว/แบบคลิกล็อค) พื้นไวนิล ไวนิล หรือ กระเบื้องยาง ทำขึ้นขึ้นจากยางสังเคราะห์ หากมองด้วยตาเปล่าจะให้ความรู้สึกใกล้เคียงกับไม้จริงเนื่องจากทำลวดลายให้เหมือนไม้ แต่ด้วยตัววัสดุทำจากยางทำให้ผิวสัมผัสมีความลื่นไม่เหมือนไม้จริง เมื่อเดินด้วยเท้าเปล่าจะรู้สึกกระด้าง โดยกระเบื้องยางจะแบ่งเป็น 2 แบบ แบบที่ 1 คือ แผ่นใหญ่ ส่วนใหญ่มักจะใช้กับงานห้างสรรพสินค้า โรงหนัง แบบที่ 2 แผ่นยาว ต่อกัน มักใช้กับงานบ้านพักอาศัย ปัจจุบันกระเบื้องยางได้ถูกพัฒนาให้มีความสวยงามมากขึ้น ราคาไม่แพง หากชำรุดสามารถซ่อมได้ง่าย และเมื่อเกิดความเสียหายสามารถเปลี่ยนเฉพาะเเผ่นนั้นๆได้เลย โดยพื้นไวนิลหรือกระเบื้องยาง จะถูกแบ่งออกเป็นแบบแบบทากาว (Dry Back) กับแบบคลิ๊กล็อค (Click Lock) ข้อแตกต่างของทั้ง 2 แบบ คือ แบบทากาว ราคาถูกกว่าแบบคลิ๊กล็อค ดูแลรักษาและแก้ไขได้ง่ายกว่า และลวดลายมีความหลายหลาย ส่วนแบบคลิ๊กล็อค สามารถติดตั้งได้โดยที่ไม่ทำให้พื้นเดิมเกิดความเสียหาย สามารถติดตั้งในห้องที่มีความชื้นได้ หากรื้ออย่างระมัดระวังจะสามารถนำมาใช้ใหม่ได้ ราคาของไม้ไวนิลแบบทากาวอยู่ที่ประมาณ 350-490 บาท และแบบคลิ๊กล็อคอยู่ที่ประมาณ 600-790 บาท ตัวอย่างแบรนด์ที่จำหน่าย เช่น Rectango , BFM , Ekon7(แบรนด์ Eco-click และ b-click) เป็นต้น ประเภทที่ 4 ลามิเนต ที่มา พื้นลามิเนตเกิดจากการหาวัสดุมาใช้ทดแทนไม้จริง ซึ่งจะประกอบไปด้วยวัสดุทั้งแบบธรรมชาติและแบบสังเคราะห์ผสมกัน ให้ความรู้สึกที่คล้ายไม้จริงแต่การยืดหดตัวน้อยกว่าไม้จริง นอกจากนี้ลามิเนตยังมีราคาถูกที่สุดในบรรดาวัสดุพื้นลายไม้ แต่ความทนทานแข็งแรงก็น้อยที่สุดเช่นกัน ข้อควรระวังหากช่างปูไม่มีการปรับระดับไม้หรือมีการปรับระดับไม้ได้ไม่ดีพอ จะให้ทำรู้สึกว่าพื้นยวบลงเวลาเดิน คล้ายพื้นพองออกมา ราคาของไม้ลามิเนตเริ่มต้นที่ 400 บาท ประเภทที่ 5 SPC พื้น SPC พื้น SPC จะประกอบไปด้วย พลาสติกบริสุทธฺ์ผสมกับหินปูนขาว โดยผ่านกระบวนการหลอมเหลวผสมและอัดเป็นชั้นๆ ด้วยความร้อยและความดันสูง เพื่อให้วัสดุคงตัวและอบด้วยตู้อบ มีคุณสมบัติที่เหนียว ยืดหยุ่น มีความทนทานและแข็งแรงสูงมาก โดยผิวหน้าของพื้นถูกออกแบบมาให้ใช้ลวดลายของไม้ที่แตกต่างกันออกไป มีให้เลือกหลากหลายแบบ ตั้งแต่โทนสีอ่อนไปจนถึงโทนสีเข้ม ที่สำคัญคือเป็นพื้นที่มีการเคลือบผิวชั้นบนด้วยวัสดุ Wear Layer รองรับการขีดข่วนได้ดีพอสมควร เช่น เมื่อขนย้ายเฟอร์นิเจอร์ภายในบ้านก็หมดปัญหาเรื่องพื้นเป็นรอย ผุกร่อน แตกหัก นอกจากนี้ยัง มีความแข็งแรง ไม่ยืดหดหรือขยายตัว ทนทานต่อความชื้น น้ำ และไฟ ลวดลายสวยงาม ผิวสัมผัสดีกว่าพื้นไม้ทั่วไป เมื่อสัมผัสตัวกระเบื้องยาง SPC จะให้ความรู้สึกแตกต่างจากพื้นไม้จริงหรือพื้นไม้ลามิเนตทั่วไป แม้ภายนอกจะมีลักษณะใกล้เคียงกัน แต่ผิวสัมผัสของพื้นไม้ SPC จะดีกว่า เรียบเนียนกว่ามากๆ ดูแลรักษาง่าย ติดตั้งสะดวก สามารถปูพื้นใหม่หรือปูทับวัสดุเดิมได้ เนื่องจากใช้ระบบ Click-Lock ช่วยลดความซับซ้อนในการติดตั้งได้ดี รื้อถอนก็ง่ายกว่าพื้นแบบอื่น ไร้สาร Formaldehyde ซึ่งเป็นสารอันตรายต่อร่างกาย ซึ่งพบเจอได้บ่อยในวัสดุการสร้างบ้านและอาคาร ข้อควรระวังสำหรับพื้น SPC ควรหลีกเลี่ยงการขัด-ถู ลงแว๊กซ์ หรือขัดมันอย่างเด็ดขาด และการลากเฟอร์นิเจอร์ที่ขาดการติดตั้งที่ถูกวิธีหรือปราศจากแผ่นสักราด อาจทำให้พื้นเกิดรอยได้ ควรระมัดระวังความเสียหายที่เกิดจากของหนักตกหรือหล่นกระแทกพื้นรอยขีดข่วนจากของมีคม หากบริเวณที่มีแสงแดดจัดควรมีผ้าม่าน หรือมู่ลี่กันแสงแดดส่องถึง ก่อนติดตั้งควรเช็คระดับของพื้นที่ที่จะติดตั้ง spc ควรเรียบเสมอกัน หากพื้นไม่เสมอกันอาจทำให้พื้นยวบและทำให้อายุการใช้งานน้อยลงได้ ราคาของ SPC อยู่ที่ประมาณ 550-790 บาท ตัวอย่างแบรนด์ที่จำหน่าย เช่น Rectango , Ekon7 เป็นต้น ประเภทสุดท้าย ประเภทที่ 6 กระเบื้องเซรามิค/แกรนิโต้ กระเบื้องเซรามิค จะมีทั้งแบบเคลือบ และ ไม่เคลือบ สามารถปูบนพื้นคอนกรีตหรือพื้นไม้ได้โดยใช้กาวติดกระเบื้องยึด ปัจจุบันมักนิยมนำมาใช้ปูพื้นในห้องครัว และห้องน้ำ ตัวกระเบื้องแข็งแรง ทนทาน ดูแลรักษาง่าย แต่ไม่ทนต่อรอยขีดข่วน แบบเคลือบหากเปียกน้ำจะมีความลื่นและดูดซึมน้ำสูง หากรื้อแล้วไม่สามารถนำมาปูใหม่ได้ และไม่เหมาะกับพื้นที่ๆได้รับน้ำหนักเยอะ กระเบื้องแกรนิตโต้ คือกระเบื้องเซรามิคชนิดหนึ่งที่เป็นหินแกรนิตเทียม มีส่วนผสมของผงหินแกรนิต แล้วนำไปผ่านการเผาด้วยความร้อนสูง ถือได้ว่าแข็งแกร่งกว่ากระเบื้องเซรามิคชนิดอื่นๆ และแกรนิโต้ยังเป็นกระเบื้องที่ไม่มีการเคลือบสี มีเนื้อกระเบื้องเป็นเนื้อเดียวกันทั้งแผ่น ดังนั้นเมื่อถูกกระเทาะจะ สังเกตได้ว่าเนื้อที่ผิวหน้ากับเนื้อด้านในจะเป็นสีเดียวกันกระเบื้องแกรนิโต้แข็งแรง และทนทานต่อการขีดข่วน เป็นกระเบื้องที่มีคุณสมบัติการรับน้ำหนักได้สูง เหมาะสมกับการใช้งานในพื้นที่ที่มีการสัญจรทั่วไป แต่ค่าปูกระเบื้องประเภทนี้จะแพงมากกว่ากระเบื้องแบบอื่นๆ เพราะปูค่อนข้างยากกว่า อย่างไรก็ตามด้วยวัสดุที่เป็นกระเบื้องจะไม่ให้ความที่รู้ที่เป็นไม้เหมือนพื้นประเภทอื่นๆที่ผลิตจากไม้จริงๆ แต่ในขณะเดียวกันเมื่อไม่ใช่วัสดุที่ทำจากไม้ก็จะสามารถทนความชื้นได้มากกว่าพื้นไม้ประเภทอื่นเช่นกัน ราคาของกระเบื้องเซรามิค/แกรนิโต้อยู่ที่ประมาณ 300-1200 บาท ตัวอย่างแบรนด์ที่จำหน่าย เช่น WDC , Thai soung เป็นต้น ความหลากหลายของวัสดุปูพื้นถูกแบ่งออกเป็น วัสดุที่ทำจากไม้ และวัสดุแบบไม่ได้ทำจากไม้เช่น ยาง หรือส่วนผสมสังเคราะห์ต่างๆ โดยพื้นไม้แต่ละชนิดมี ”สีสันและความสวยงาม” ที่แตกต่างกัน โดยไม้จริงจะให้ความรู้สึกอบอุ่นและเป็นธรรมชาติมากกว่า แต่ก็มีข้อจำกัดในเรื่องของสี เนื่องจากสีจะเป็นไปตามชนิดของไม้นั้นๆ รองลงมาจะเป็นพื้นไม้ประเภทอื่นๆที่ผลิตจากไม้จริง ที่นิยมกันก็จะเป็นไม้ลามิเนต เนื่องจากมีผิวสัมผัสที่คล้ายกับไม้จริงและมีลวดลายและสีสันให้เลือกมากมาย “ผิวสัมผัส” ก็เช่นกัน หากวัสดุถูกผลิตจากไม้จริงก็จะทำให้คล้ายกับไม้จริงมากกว่า ต่างจากกระเบื้องยางหรือกระเบื้องเซรามิค/แกรนิโต้ลายไม้ ที่จะให้พื้นผิวทีเงาและลื่นกว่าไม้จริง ในเรื่อง ”ความแข็งแรงทนทาน” ไม้จริงจะมีความคงทนและแข็งแรงมากกว่า แต่ก็มีราคาที่สูงมากเช่นกัน แต่ถ้าเป็นลามิเนตจะมีความทนทานน้อยที่สุดในด้านการทนแรงกระแทกและพรอยขีดข่วน ปัจจุบันมีให้เลือกใช้มากมาย ตามความชอบและเหมาะสม แต่ไม่ว่าพื้นประเภทไหนก็มีเสน่ห์ที่แตกต่างกัน หากเราดูแลรักษาพื้นก็จะสวยแล้วอยู่กับเราไปได้นานแน่นอน The Collective Studio Co., Ltd. Architectural & Interior Design www.ctstu.com Tel. 094 442 4652 Email: collectivetalk@gmail.com ติดตามข่าวสารและเรื่องราวที่น่าสนใจของพวกเราได้ที่นี่ Line : Facebook : Instagram : Twitter : Website : Youtube
- พระตำหนักดาราภิรมย์ แวะวังน่าชมก่อนเที่ยวแม่ริม
พระตำหนักดาราภิรมย์แห่งนี้สร้างเพื่อเป็นที่ประทับของเจ้าดารารัศมี โดยก่อสร้างช่วงปี พ.ศ.๒๔๗๐-๒๔๗๒ ว่าแต่เจ้าดารารัศมีคือใคร??? ท่านเป็นธิดาของเจ้าอิทวิชยานนนท์ (เจ้านครเชียงใหม่ขณะนั้น) กับเจ้าทิพเกสร และท่านก็เป็น พระราชชายาของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ไม่ต้องแปลกใจว่าการที่รัชกาลที่ ๕ ท่านเลือกเจ้าดารารัศมีมาเป็นพระราชชายามีนัยยะทางการเมืองหรือไม่ แต่จากเรื่องราวก็บ่งบอกว่าท่านทรงโปรดเจ้าดารารัศมีมากจนคาดไม่ถึง เรื่องราวเป็นอย่างไรบ้างไปหาอ่านกันเอาดู คิดว่าในสมัยนั้นท่านคงต้องผ่านศึกอิฉจาริษยานางในวังไม่ต่างจากในละครทีวีแน่ๆ ยิ่งในสมัยรัชกาลที่ ๕ ท่านมีชายาตั้งมากมาย ตลอดเวลาที่อยู่อยู่กรุงเทพฯ ท่านดำรงความเป็นชาวล้านนาอยู่ตลอด นุ่งซิ่น จัดให้มีการฟ้อนรำในวัง ฯลฯ ดูแล้วชื่นชมกับการที่ท่านรักในวัฒนธรรมของตัวเอง ไม่เห่อไปตามความนิยมตะวันตกที่ฟูฟ่าในสมัยนั้น ต่างกับปัจจุบันที่เกาหลีเป็นยังไงไทยสาวไทยขอเป็นบ้าง หลังจากที่รัชกาลที่ ๕ สวรรคต เจ้าดารารัศมีจึงทรงย้ายกลับมาประทับที่เชียงใหม่และสร้างพระตำหนักดาราภิรมย์แห่งนี้ บนเส้นทางก่อนถึงแม่ริมโดยควบคุมงานด้วยตัวเอง (วิทยากรบอกมา) และทำพื้นที่รอบๆวังเป็นสวนเกษตร ตัวพระตำหนักมีลักษณะเป็นเรือนผสมผสานแบบตะวันตกตามสมัยนิยมในช่วงนั้น อาจเป็นเพราะท่านได้ไปประทับอยู่ในหลายวังในกรุงเทพฯ เช่นพระที่นั่งวิมานเมฆ เป็นต้น อาคารขนาดพอเหมาะ ไม่ใหญ่จนเกินไปนัก มีวิทยากรนำชมบอกเล่าเรื่องราวต่างๆไปทีละห้องๆ เป็นพิพิธภัณฑ์เล็กๆแต่ก็มีการจัดการและต้อนรับนักท่องเที่ยวดีเกินคาด อาจเป็นเพราะปัจจุบัน พระตำหนักแห่งนี้ดูแลโดยจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ท่านประทับที่ตำหนักนี้จนสิ้นพระชนม์ เมื่อมีอายุ ๖๐ปี แม้ตอนที่ท่านประชวร รัชกาลที่ ๗ ก็ทรงเป็นห่วงทรงส่งแพทย์มาช่วยรักษาและให้รายงานพระอาการให้ทราบเป็นระยะๆ แสดงถึงสานสัมพันธ์อันดีระหว่างเจ้าแห่งสยามพระองค์อื่นๆตลอดมา
- Kyoto Railway Museum พิพิธภัณฑ์รถไฟญี่ปุ่นที่ดีที่สุดอยู่ที่นี่
เกียวโตไม่ได้มีแค่วัดเก่า แต่พิพิธภัณฑ์รถไฟญี่ปุ่นที่ดีที่สุดอยู่ที่นี่ Kyoto Railway Museum ไม่ได้โม้ เพราะ Kyoto Railway Museum เป็นพิพิธภัณฑ์ของ JR WEST เพิ่งเปิดให้ชมเมื่อปี 2016 นี่เอง ที่นี่แต่เดิมคือ Umekoji Steam Locomotive Museum ที่จัดแสดงรถจักรไอน้ำ แล้วปรับปรุงใหม่ให้เป็น Kyoto Railway Museum ลองดูคลิปบรรยากาศก่อน การเดินทางก็ไม่ไกลจาก Kyoto Station ขึ้นรถเมล์มามีหลายสายที่ผ่าน ยุคนี้กดเข้า Google Map บอกทุกอย่างว่าขึ้นสายไหนลงตรงไหนรถมากี่โมง เป็นพิพิธภัณฑ์ที่อลังการมากมีรถไฟโชว์ให้ดูหลากหลายแบบมากตั้งแต่หัวรถจักรไอน้ำรุ่นแรกๆ รถไฟที่ใช้ช่วงสงคราม จนถึงรถไฟShinkansen 0 Series ที่เป็นรถไฟชินกันเซ็นขบวนแรกของญี่ปุ่น และรถไฟ Shinkansen 500 Series เป็นรถไฟชินกันเซ็นรุ่นแรกที่สามารถวิ่งได้ 300 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ลง the Guinness Book of World Records ด้วย เมื่อซื้อตั๋วฝากกระเป๋าแล้วก็เข้ามาส่วนแรกเป็นที่จอดขบวนรถไฟให้ดูเต็มๆขบวน สามารถเดินเข้าไปดูภายในแต่ละขบวนได้ เป็นการเรียกน้ำย่อยกันก่อน ดูห้องคนขับ ตู้ควบคุมต่างๆ และตรงนี้เป็นร้านอาหารด้วย มีคุณพ่อพาเด็กๆเข้าไปนั่งกินกันเยอะเลย น่ารักมากๆ แค่ได้เห็น Shinkansen Series 0 ก็ตื่นเต้นแล้ว รถไฟความเร็วสูงที่เห็นตั้งแต่เด็ก ได้มาเห็นของจริงรู้สึกว่ามันเท่มาก และด้วยประวัติศาสตร์การสร้างที่แสนจะดราม่า เมื่อญี่ปุ่นพยามสร้างรถไฟขบวนนี้ให้เสร็จทันการแข่งขันโอลิมปิคที่โตเกียว ปี 1964 ทั้งๆที่เพิ่งแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อปี 1945 นี่เอง คิดดูเวลา 19 ปี จากประเทศผู้แพ้สงครามเจอนิวเคลียร์ถล่มเละ สามารถสร้างรถไฟความเร็วสูงขึ้นมาบนโลกใบนี้ได้ พอหายตื่นเต้นก็เดินเข้าไปในอาคารจัดแสดงก็ตะลึงเข้าไปอี๊ก เป็นโถง 2 ชั้น ที่มีรถไฟหน้าตาเรโทรจอดอยู่ คลาสสิคเชียว มีพนักงานหน้าตาจิ้มลิ้มยืนอยู่ในเคาน์เตอร์คอยให้ข้อมูล เริ่มด้วยดูจุดเริ่มต้นของเครื่องจักรไอน้ำ มีเครื่องจักรวางให้ดู มีโชว์การทำงานให้ดูด้วย และรอบๆก็จะมีรถไฟรุ่นแรกๆที่ใช้งาน และข้อมูลว่าที่ต่างๆของโลกเค้าเริ่มกิจการรถไฟตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ประเทศไทยก็จัดอยู่ในกลุ่มเริ่มมีรถไฟเป็นกลุ่มที่ 3 (สีเหลือง) ก็ไม่ได้ช้า พอๆกับจีน มีโมเดลรถไฟในยุคแรกๆ และ Diorama แสดงบรรยากาศบริเวณสถานีรถไฟสมัยนั้น ดูบรรยากาศ ศิวิไลซ์ โอ่อ่า แสดงให้เห็นว่า สถานีโอซาก้า เกียวโต โกเบ เป็นที่ๆเจริญมากจากการค้าสมัยนั้น อุโมงค์รถไฟแรกของโตเกียวก็อยู่ในเขตคันไซนี่แหละ โชว์ว่าเขตเรานี่เจริญกว่าเพื่อน เด็กๆที่โรงเรียนพามาก็เดินดูกันอย่างเป็นระเบียบ นี่คือรถไฟฟ้าขบวนแรกของญี่ปุ่น เมื่อปี 1928 !!! เค้าพัฒนารถไฟฟ้ามาตั้งแต่เมื่อนั้น โซนนี้ก็เล่าเรื่องการขยายตัวของการรถไฟญี่ปุ่นว่าเกิดขึ้นได้ยังไงถึงได้ไปได้ทั่วประเทศได้เร็วขนาดนั้น ขยายไปเหนือจรดใต้ และก็การเชื่อมโยงการรถไฟกับขนส่งชนิดอื่นๆ ส่งผลให้เศรษฐกิจของประเทศเติบโตอย่างรวดเร็ว และนี่ก็คือเรื่องรถไฟ Shinkansen นั่นเอง จอดอยู่ข้างสถานีรถไฟจำลอง ซึ่งสถานปัจจุบันหลายๆแห่งก็ยังหน้าตาแบบนี้นะ มีร้านของชำอยู่ด้านหน้าด้วย เดินเข้าชานชลาไปสู่รถไฟที่จอดด้านในอีกขบวน ต่อด้วยโซนที่ว่าด้วยเรื่องโครงสร้าง องค์ประกอบของรถไฟ ซึ่งเป็นโซนที่สนุกมากมีอะไรให้ทำหลายอย่าง เราได้เห็นช่วงล่างรถไฟหลากหลายรูปแบบ มีบอร์ดและจอข้อมูลอธิบายการทำงานของล้อรถไฟ สามารถลองดึงล้อรถไฟได้ ที่มันส์มากคือมีหลุมให้เราเดินลอดใต้ท้องรถไฟเพื่อดูข้างใต้ได้ !!! รถไฟนะไม่ใช่ช้าง !!! ใครจะมีโอกาสได้ลอดใต้ท้องรถไฟกันง่ายๆ เลยขอเดินลอดหลายรอบหน่อย นำเอารถ Osaka Loop Line มาจอดเพื่อแสดงให้เห็นระบบความปลอดภัยของชานชลา รวมถึงโครงสร้างของโบกี้รถไฟ ที่ภายในเป็นรูปรังผึ้งจึงแข็งแรงและเบา ให้ทดลองกลไกการหมุนของล้อรถในรูปแบบต่างๆ หมุนกันเมื่อยแขนเลย มีหลายเรื่องที่เพิ่งรู้และทึ่งในวิทยาการของโบกี้รถไฟนะ ไม่ว่าจะการเลี้ยวการทรงตัว และการรองรับการกระแทกต่างๆ รางและไม้หมอนแต่ละประเภท ที่ส่งผลต่อความเร็วรถไฟที่ต่างกัน มีให้ลองเล่นด้วยนะ (ดูในคลิป) ระบบควบคุมการเดินรถไฟหลายๆส่วน ดูแท่นการสับรางแล้วก็นึกถึงคำเปรียบเปรยที่ว่าคนเจ้าชู้มีแฟนหลายคนต้องสับรางรถไฟเก่ง ผมว่าถ้าสับรางเครื่องนี้ได้นี่เทพเลยนะ รับรองจัดการกิ๊กได้เป็นสิบคน การเจาะอุโมงค์และการทำสะพานข้ามแม่น้ำก็น่าสนใจ มี Museum Shop ดักกลางทาง แหม ช่างสรรหาอะไรน่ารักๆมาหลอกขายคนได้เสมอเลยนะ ขึ้นมาชั้น 2 เป็นบรรยากาศที่ทันสมัยขึ้นมา จะนำเสนอเรื่องที่เป็นปัจจุบันมากขึ้น มี Simulator ให้ขับรถไฟขบวนต่างๆ สนุกกันทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ ไฮไลท์ของชั้นนี้อีกอย่างคือ Railway diorama แบบจำลองรถไฟสามมิติที่มีขนาดใหญ่มาก!!! ความยาวทั้งหมดประมาณ 30 เมตร กว้าง 10 เมตร มีโชว์ให้ดูเป็นรอบ พอดีรอบต่อไปต้องรอนานเลยไม่ได้ดู นอกนั้นก็เป็นเรื่องการขนส่งสินค้าทางราง คุณค่าและความจำเป็น ผมว่าตรงนี้อาจดูเรียบๆไม่ได้น่าสนใจมาก แต่เนื้อหามันส่งถึงคนดูได้อย่างดีมากเลยนะ ทำให้คนที่มารู้สึกว่าทำไมเราถึงต้องใช้รถไฟเป็นหลักในการสัญจรของประเทศนี้ และก็มีห้องนิทรรศการย่อย โชว์เรื่องสถานีรถไฟเก่า มีแบบก่อสร้างและวัสดุตกแต่งมาโชว์ ณ จุดๆนี้ ขอบอกว่าเริ่มตาลายดูอะไรไม่ไหวแล้ว ต้องหาอะไรรองท้องก่อน ชั้นนี้มีร้านอาหารด้วย อาหารพยามตกแต่งให้ดูเป็นเรื่องรถไฟ รสชาติไม่ต้องพูดถึงก็อย่างงั้นๆ กินประทังชีวิตไป แต่ที่เด็ดคือวิวเจ๋งมาก มาที่นี่แม้ไม่อยากกินอะไร เดินมานั่งพักจิบน้ำสักแก้วชมวิวสักหน่อย จะประทับใจมาก ขึ้นไปบนดาดฟ้าจะมีจุดชมวิวอีกที่หนึ่ง มีจอที่คอยบอกการเดินทางของรถไฟแต่ละขบวน จริงแท้อย่างใดไม่อาจทราบได้ เพราะเป็นภาษาญี่ปุ่น แต่มันก็ดูเจ๋งมาก เดินออกมาจากอาคาร ด้านหลังจะเป็นจุดจอดหัวรถจักรไอน้ำเรียงกัน แต่ละขบวนได้รับการดูแลอย่างดี สภาพสวยมากๆ ลานวงกลมอยู่ตรงกลาง ที่ตอนแรกสงสัยว่าทำไมต้องทำแบบนี้ พอดูก็เข้าใจ เป็นสะพานที่คอยหมุนหัวรถจักรเข้าช่องจอดตามรูต่างๆนี่เอง มีรถไฟจริงๆมาเปิดหวูดปล่อยควันสร้างบรรยากาศอยู่ด้วย จุดนี้เป็นบริเวณที่น่าถ่ายรูปมากๆ เซลฟี่กับรถไฟกันให้เต็มที่ ใน Museum Shop อาคารเล็กตรงทางออกก็มีของที่ระลึกสารพัดแบบตามเคย น้ำเปล่ายังไม่เว้น โมเดลรถไฟต่างๆน่าซื้อมาก แต่ด้วยปณิธาณที่จะไม่ซื้ออะไรที่ไม่ได้ใช้กลับมา เงินในกระเป๋าเลยยังอยู่ครับ เก็บกลับมาแต่ความรู้และความประทับใจในสิ่งที่ได้เจอ ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ใช้การขนส่งทางรางมากที่สุดประเทศหนึ่ง Kyoto Railway Museum เป็นพิพิธภัณฑ์ที่ไม่ได้หวือหวา แต่ว่าถ่ายทอดความรู้ และทำให้ได้เข้าใจความเป็นมาและเป็นไปของการขนส่งทางรางของญี่ปุ่น เป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีทั้งของเก่าและใหม่ มี interactive ให้เล่นแบบไม่ต้อง digital มาก แต่ว่าสื่อสารกับผู้ชมได้ดี ทำให้น่าสนใจทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ถามว่าที่นี่จัดเป็นพิพิธภัณฑ์ประเภทไหนก็ตอบยาก มันมีความเป็นพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ ผสมกับประวัติศาสตร์ ก่อนหน้านี้ผมมีคำถามเรื่องการใช้รถไฟของคนญี่ปุ่นมาก มาที่นี่ ฉันเลยจึงหมดคำถามมมม มาเกียวโต เจียดเวลาสักครึ่งวันมาที่นี่ แล้วจะรู้สึกว่าคุ้มค่าที่มาญี่ปุ่น อยากรู้ข้อมูลเพิ่มเติมอัพเดท ค่าเข้าชม เวลาเปิด-ปิด >> Website >> Facebook #japan #kyoto #railway #museum #architectraveler
- HATENA ความไทยๆแบบโอซาก้า
ความบังเอิญทำให้เราไปมีโอกาสมาสัมผัสร้านอาหารไทยในโอซาก้าในคืนหนึ่งที่ Hatena สวัสดีปีใหม่... ปี 2018 อาจจะช้าไปนิดนึงแต่ยังอยู่ในเดือนมกราคมคิดว่ายังพอสวัสดีปีใหม่ได้ ด้วยความที่งานค่อนข้างยุ่งทำให้ คอลัมน์ต่างๆอาจจะดูขาดหายไปบ้าง ปีนี้ขอเริ่มด้วยเรื่องราวที่พวกเราเดินทางไปมาล่าสุดดีกว่า ในทริปดูงานออกแบบโรงแรมของเราที่ Osaka - Kyoto เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา คืนสุดท้ายหลังจากที่เดินเล่นอยู่แถวๆโรงแรมที่พัก ขากลับบังเอิญเดินเจอร้านอาหารไทยแห่งหนึ่ง "Hatena โอซาก้า" ด้วยความที่นั่งดื่มร้านญี่ปุ่นๆมาหลายร้านแล้ว เราเลยตกลงใจเข้าไปนั่งดื่มปิดท้ายทริปในร้านอาหารไทยแห่งนั้น เมื่อก้าวเข้าไปในร้าน ผมเหมือนตัดขาดจากเมืองโอซาก้าชั่วขณะ... ผมว่าความเป็นไทยมันไม่ใช่รูปแบบของศิลปะหรือวัฒนธรรม มันคือวิถีชีวิต คือสันดานแบบคนไทย ที่สัมผัสปุ๊บก็รู้เลยว่ามันใช่ เพราะในร้านนี้ไม่มีรูปแบบศิลปะที่มันไท๊ยไทย ไม่มีลายกนก ไม่มีลายไทย ไม่มีผ้าไทย แต่เป็นของที่เป็นสัญลักษณ์ ที่คนไทยเห็นก็คงเข้าใจ ลองดูสิ แค่ดูเมนูก็โคตรจะไทยแล้ว แม้จะเป็นคนญี่ปุ่นเต็มร้าน มีแค่พวกเราที่เป็นลูกค้าคนไทย ผมก็ไม่รู้สึกว่าเป็นร้านญี่ปุ่น มันมีความสนุกสนานแบบไทยๆลอยอยู่ อย่างว่า เราดื่มกินร้องเพลงอะไรก็ไม่สนุกปากเท่าร้องเพลงไทยหรอก ผมคิดถึงร้านนั่งดื่มที่มีกลิ่นอายแบบนี้ที่เคยนั่งในสมัยก่อน ร้านที่แต่งโดยเจ้าของร้าน ที่ดูเหมือนแต่งไปมั่วๆ อยากเอาอะไรมาโชว์ก็ใส่ไป อาจจะดูรกๆ ไม่มีไฮไลท์ ไม่ปัง แต่ผมรู้สึกว่าบางทีร้านที่รกๆแบบนี้มันกลับมีเสน่ห์ในบางอย่างที่ร้านออกแบบดีๆโดยนักออกแบบให้ไม่ได้ (อ้าว เป็นงั้นไป) ร้านบางประเภท เช่น ร้านอาหารพื้นเมือง หรือร้านขายสินค้าที่มีลักษณะ craft handmade ถ้าออกแบบจริงจังเกินไป เมื่อใช้งานบางทีมันแข็งไป มันประดิษฐ์มากไป มันต้องมีความเป็นธรรมชาติเข้ามาบ้าง ร้านจะดูมีชีวิต มีความสัมพันธ์ของผู้คนอยู่ในนั้น และมันต้องแสดงถึงตัวตนของเจ้าของร้าน มีคาแรคเตอร์ โดยที่มีการใช้งานที่ดี ยำวุ้นเส้นกับข้อไก่ทอดกับแกล้มในคืนนั้น ชนะอิซากะยะไก่เสียบไม้ปิ้งหรือเนื้อย่าง A5 ร้านอื่นๆจนขาดลอย นั่งตกผลึกทางความคิดกันไปด้วยเบียร์คนละสองขวด ถึงแนวทางการทำงานของเรา หลังจากที่มุ่งเป้าเรื่องงานที่มี Storytelling ในปีที่แล้วทำให้เป้าหมายในการออกแบบในปีนี้ คือ การออกแบบร้านที่มีชีวิต อาจจะดู Abstract แต่ว่ารอดูละกันครับว่าเราจะทำมันออกมายังไงบ้าง และจะไปได้ไกลถึงจุดไหน ถ้าใครได้ไปเล่นช๊อปปิ้งแถว Shinsaibashi ลองกด Google หาดูร้าน Hatena โอซาก้า แล้วลอง "บังเอิญ" แวะไปนั่งดื่มสักแก้ว แล้วคุณจะอยากกลับบ้าน... ======================== อัปเดตและติดตามข่าวสารของพวกเราได้ที่ Line : https://line.me/R/ti/p/%40618kfgir Facebook : https://www.facebook.com/TheCollectiveStudio Instagram : http://bit.ly/3bECtyL Twitter : https://twitter.com/CollectiveBKK Youtube : http://bit.ly/2vDXgC8 Tiktok : https://www.tiktok.com/@thecollectivestudio
- 5 เคล็ดลับการทำ "Team Building" ให้สนุก
เมื่อพูดถึง "กิจกรรม" ในองค์กร หลาคนแค่ได้ยินก็รู้สึกเหนื่อยแล้ว หรือบางคนอาจมองว่าไม่มีเหตุจำเป็นต้องจัดกิจกรรมนี้ขึ้นมา สู้นำเงินไปเป็นโบนัสหรือปรับเพิ่มเงินเดือนยังมีประโยชน์มากกว่า และยิ่งไปทำกิจกรรมกับคนที่ไม่ใช่ครอบครัว หรือเพื่อน ก็อาจทำให้รู้สึกเกร็งไม่เป็นตัวของตัวเอง ขาดความบันเทิง แต่การจัดกิจกรรม "Team Buliding" นั้นก็มีประโยชน์หลายด้าน และส่งผลดีต่อองค์กรเป็นอย่างมาก กิจกรรม Team Building มีความสำคัญอย่างไรต่อองค์กร? ในยุคนี้ การทำงานมีรูปแบบที่หลากหลายมากกว่าเดิม บางองค์กรมีหลายสาขา มีสำนักงานอยู่หลายที่ บางคนทำงานทางไกลจากที่บ้านไม่ได้เข้าบริษัทเลย บางทีอยู่ในตึกเดียวกันแต่แบ่งพื้นที่จนไม่เคยได้คุยกัน ทำให้โอกาสที่จะได้พบปะหรือทำความรู้จักกันมีน้อย กิจกรรม Team Building จึงมีความสำคัญเป็นอย่างมาก เพราะมันเป็นสิ่งที่ทำให้คนในองค์กรได้มาทำความรู้จักกันในแง่มุมอื่นที่นอกเหนือจากการทำงานในชีวิตประจำวัน และมีโอกาสได้ทำงานร่วมกันจากกิจกรรมที่จัดขึ้นมา อีกทั้งยังเป็นการเสริมสร้างทักษะที่จำเป็นให้กับคนในองค์กร สอดแทรกแง่คิดใหม่ๆ และสร้างความรู้สึกที่ดีกับองค์กร ให้เห็นเป้าหมายร่วมกันและทำงานไปในทิศทางเดียวกันได้ แต่ทำยังไงให้พนักงานสนุกกันล่ะ??? 1. สร้าง Theme ให้กับงาน ถ้าเราจัดงานเพียงแค่มารวมตัวกัน เดินทางไปแล้วกลับก็คงไม่สนุก แต่การสร้าง Theme จะทำให้คิดสร้างสรรค์กิจกรรมได้หลากหลาย และสนุก เพราะสามารถต่อยอดไปในองค์ประกอบต่างๆในงานได้ เช่น การทำเสื้อ การสร้างเรื่องราว การตกแต่งบรรยากาศ ฯลฯ พอมีเรื่องราว ทีมงานก็จะมีโอกาสเตรียมตัว เตรียมเสื้อผ้า ชุดแฟนซี ก่อนไป สร้างความตื่นตัวให้กับทีมงาน อย่างเช่น ในปีนี้เราจัดงานใน Theme "Pirate Treasure The Adventure" ที่ให้ทุกคนเป็นนักผจญภัยสะสมเหรียญและสมบัติจากกิจกรรมต่างๆ ทุกคนก็จะสนุกและอินไปกับเรื่องราวที่สร้างขึ้นมา 2. สร้างบรรยากาศให้เป็นงานอีเวนต์ที่พิเศษ เมื่อมีการสร้าง Theme ขึ้นแล้ว เราก็ต่อยอดองค์ประกอบจากแนวคิดที่สร้างขึ้นมาให้เป็นบรรยากาศที่ดูพิเศษ เช่น การทำเสื้อแจกให้ทุกคนที่มาร่วมงานใส่ การต้อนรับ การติดบัตรที่ทำขึ้นโดยเฉพาะ การทำของแจก ฯลฯ ให้พนักงานรู้สึกว่าการที่เราได้มาร่วมงานนี้เป็นการได้รับเชิญมาพิเศษ ไม่ใช่ใครๆก็มาได้ ก็จะทำให้รู้สึกว่าตัวเองมีความสำคัญ และรู้สึกสนุกสนานเพลิดเพลินไปกับงาน จนสามารถเล็งเห็นถึงความสำคัญของการจัดกิจกรรมนี้ขึ้นมา 3. สร้างความท้าทายและเซอร์ไพรส์อยู่เสมอ เปลี่ยนกิจกรรมเดิมๆ เช่น นั่งฟังสัมมนา ทำกิจกรรมรวมกันธรรมดา ให้เป็นกิจกรรมที่ต้องใช้ไหวพริบ กำหนดระยะเวลาที่สั้น และให้ทำสิ่งที่รู้สึกว่าก็จะรู้สึกว่าเป็นไปได้ยาก จะทำให้เกิดความตื่นตัว และท้าทาย ซึ่งแต่ละทีมก็จะมีวิธีการจัดการต่างกันไป ได้เห็นถึงกระบวนการทำงานของแต่ละบุคคล เห็นจุดแข็งจุดอ่อนภายในตัวบุคคล ให้ทีมคิดวิธีแก้ปัญหา และการสร้างเซอร์ไพรส์เป็นช่วงๆตลอดงานจะทำให้เกิดความคาดเดาได้ยาก และทุกคนต้องเตรียมพร้อมต่อสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นเสมอ 4. ให้รางวัลสร้างความภาคภูมิใจ แรงจูงใจคือสิ่งสำคัญที่จะขับดันให้ทุกคนร่วมใจกันทำกิจกรรม เพราะหากไม่มีการให้รางวัลแก่พนักงาน ก็อาจทำให้รู้สึกไร้จุดหมายในการทำกิจกรรม จนเกิดความละเลยในการสร้างทีมสัมพันธ์ การให้รางวัลจึงเปรียบเสมือนเครื่องมือในการกระตุ้นพนักงานในการทำกิจกรรม และสร้างความภาคภูมิใจในการบรรลุความสำเร็จของการทำงานร่วมกัน บางทีก็จัดให้มีเงินรางวัลเล็กๆน้อยๆ แต่ว่าไม่จำเป็นต้องให้เงินเสมอไป การที่ได้รับสิ่งของที่ทำมาเป็นพิเศษก็ทำให้ภาคภูมิใจได้ เช่น ให้เหรียญรางวัลให้ผู้ชนะ ถ้วยรางวัลของทีม เป็นต้น 5. จัดกิจกรรมที่ทุกคนต่างชื่นชอบ เมื่อมีกิจกรรมที่ "อยากให้ทำ"เพื่อวัตถุประสงค์ต่างๆแล้ว ก็ควรมีกิจกรรมที่เค้า "อยากทำ" บ้าง เพราะเมื่อมีคนหลายกลุ่มมารวมตัวกัน ก็ควรหาจุดที่จะสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสบายใจ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คงหนีไม่พ้นกับเรื่องของ "การจัดกิจกรรมที่คนส่วนใหญ่ต่างชื่นชอบ" และสามารถเข้าร่วมได้ ซึ่งถือเป็นการละลายพฤติกรรมและลดช่องว่างระหว่างกัน ทั้งในระดับบุคคลก็ดี ตำแหน่งงานก็ดี หรือช่วงอายุที่ห่างกัน เช่น ถ้าชอบร้องเพลงคาราโอเกะ ก็จัดให้มีหลังอาหารค่ำ ทุกคนก็จะมาร่วมกันเองโดยไม่ต้องบิลท์อารมณ์กันมาก ดีไม่ดี ร้องกันไม่ยอมเลิกเสียอีก ถ้ายังนึกกิจกรรมไม่ออกลองชมคลิปบรรยากาศงาน Team building ของพวกเรา The Collective "Team building is more than just an event, it is a process of fostering "collective growth." ======================== ติดตามข่าวสารและเรื่องราวของพวกเราได้ที่นี่ Facebook : Instagram : Twitter : Youtube