เปิดเรื่องแรกของ Collective Soul ด้วยเรื่องของการถ่ายภาพดีกว่า
นึกๆดูก็ไม่ได้ถ่ายรูปด้วยฟิล์มมาสิบปีแล้ว
หลังจากที่กล้องดิจิตอลที่ค่อยๆเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตทีละนิดๆ
ครึ้มอกครึ้มใจเลยอยากกลับมาถ่ายรูปด้วยฟิล์มอีกครั้ง เลยไปถอยกล้อง Nikon FM
มือสองมาตัวนึงจาก Ebay สภาพสวยงาม แถมมี Motor Drive กับซองหนังสุดคลาสสิคมาให้ด้วย
ในยุคนี้การสั่งซื้อสินค้าออนไลน์จากต่างประเทศ เรื่องศุลกากรและภาษี
ไม่ใช่เรื่องใหญ่แล้ว แสนจะสะดวกง่ายดาย
ไม่ต้องมีขั้นตอนมากมาย ของมาส่งถึงหน้าบ้าน
แต่ด่านที่สำคัญคือสายตาภรรยาที่ตรวจสอบสินค้าเข้าออกภายในบ้านต่างหาก
ที่อาจจะดีลยากนิดนึง ต้องจ่ายใต้โต๊ะกันหนักหน่อย
ดีไม่ดีจ่ายแพงกว่าของที่ซื้อมาเองอีกนะเหล่าพ่อบ้าน
เมื่อของผ่านพ้นศุลกากรและสายตาภรรยามาถึงมือเราได้แล้ว
หลังจากสัมผัส ล้วงแคะแกะเกาสักพัก
อืม....มันคือกล้องถ่ายรูปที่เคยจับจริงๆเมื่อก่อน
มันมีกลไกที่มนุษยชาติคิดขึ้นมาเพื่อการถ่ายรูป
กล้องเองไม่ต้องมีแบตเตอรี่ก็สามารถถ่ายภาพได้ (แต่ขอให้มีฟิล์ม)
ผิดกับโลกดิจิตอลปัจจุบันที่ขาดแบตเหมือนขาดวิญญาณ
จากนั้นก็สั่งซื้อฟิล์มมาลอง ก็เอาที่มันไม่แพงก่อน ถ่ายเสียจะได้ไม่ฟูมฟาย
บอกตรงๆว่าไม่ได้ใส่ฟิล์มมานาน
ตอนทำก็แอบกังวลเล็กน้อยว่ากูใส่ถูกรึเปล่าวะเนี่ย
ถ่ายไปเรื่อยๆแล้วฟิล์มไม่หมุนนี่เสียฟอร์มตายชัก
รูปแรกที่ถ่ายก็ทั้งเบลอทั้งเอียง ทั้งมืด... แต่ทำไมกลับชอบอารมณ์มัน
เสียงลั่นชัตเตอร์และเสียงของกระจกรับภาพดีดตัวมันเหมือนเสียงของการยิงปืน ที่ฝรั่งเค้าเรียกว่า Shooting หรืออีกนัยหนึ่งที่ว่าภาพถ่ายบางภาพทำให้คนตายทั้งเป็นได้ เลยเอากล้องมายิงหมาที่บ้านไปทีนึง มันส่ายหัว ถอนหายใจรำคาญในความเห่อ แล้วก็นอนยังนอนนิ่งต่อไป
พอดีใกล้ปีใหม่ ได้เวลาหยุดงานไปเที่ยวต่างจังหวัดพอดี เลยหิ้วไปลองของด้วยซะเลย
การถ่ายภาพด้วยกล้องดิจิตอลมานานทำให้นิสัยในการถ่ายรูปเสียไป
ความปราณีตในการถ่ายภาพลดลงไปมากๆๆๆๆ
ยิ่งช่วงหลังใช้กล้อง Mirrorless แล้วยิ่งแทบไม่สนใจในการวัดแสงเลย
จะตั้งเป็นระบบอะไรก็เหมือนกัน ถ้าภาพที่แสดงบนจอมันได้ก็กดเลย
เสน่ห์ของการบันทึกภาพที่ไม่ได้ถ่ายทิ้งถ่ายขว้างแบบปัจจุบัน
ไปไหนมาภาพที่มีจะไม่เยอะมาก ภาพจะเป็นช่วงๆ
ทำให้ต้องใช้จินตนาการรำลึกถึงเหตุการณ์ครั้งนั้น
เพื่อเชื่อมเหตุการณ์ต่างๆที่ขาดหายไปเข้าด้วยกัน
เมื่อดูภาพฟิล์มที่ออกมา ก็มีความชัด แต่ไม่ชัดเหมือนดิจิตอลทุกวันนี้
ผมว่าเสน่ห์ของมันคือภาพมันเหมือนกับความทรงจำของเรา
ที่มันชัดๆเบลอๆในบางที... มันมีความไม่สมบูรณ์แบบ
เพราะความรู้สึกของตัวเราเองก็ไม่ได้ชัดเจนไปทุกเรื่อง
ภาพจะเอียงบ้าง โฟกัสไม่ตรงจุดบ้าง แสงโอเวอร์บ้าง อันเดอร์บ้าง
มันซ่อนความรู้สึกที่เรามองไม่เห็นไว้ในภาพนั่นเอง
จริงๆแล้วเมื่อก่อนเราอัดรูปมันก็ใหญ่แค่เอาไว้แปะฝาบ้าน
ซึ่งก็ไม่รู้ว่าภาพถ่ายไปเที่ยวในครอบครัวจะไปซูม20เท่า
ส่องดูความคมชัดในระดับเมกาพิเซลเพื่ออะไร
ถ้าไม่ได้ถ่ายมาเพื่อเอามาทำกราฟฟิก บิลบอร์ด
หรือมาขายภาพสตอกออนไลน์
การถ่ายรูปด้วยฟิล์ม เราไม่สามารถรับรู้ถึงภาพที่จะได้
เราจึงไม่ต้องมาคอยสนใจว่าที่ถ่ายไปแล้วมันดีหรือไม่แค่ไหน
มันจับความรู้สึกของเราตอนนั้นแล้วก็จบ
สนุกกับเหตุการณ์ข้างหน้าต่อไป
กลับบ้านค่อยรอเวลาที่จะได้พบกับภาพที่ถ่ายไป
อย่างภาพตอนไปเที่ยวปีใหม่ชุดนี้
กว่าจะกลับมา กว่าร้านจะเปิดหลังปีใหม่ กว่าจะล้างสแกนเสร็จ
ก็รอไปอีกสิบวันถึงจะได้เห็นภาพ
ใช้มือถือถ่ายอัพเฟสบุค อินสตาแกรม แป๊บเดียวคนเห็นทั้งโลก
เวลาของอดีตกับปัจจุบันมันเดินไม่เท่ากันจริงๆ
การทำชีวิตให้ช้าลงไม่ได้หมายถึงการทำตัวให้ชีเกียจชิลๆ
นอนจนตะไคร่ขึ้นแบบตัวสลอต
แต่เป็นการใช้เวลาสัมผัสกับสิ่งรอบตัวจริงๆให้มากขึ้น
เราก็แค่ไปเที่ยวแล้วก็ได้บันทึกช่วงเวลามามันอาจไม่สมบูรณ์แบบ และเป็นอดีตแก้ไขไม่ได้แล้ว
แต่มันก็คือเสน่ห์ของฟิล์ม และชีวิต...