ย้อนอดีตไปกับ Time Capsule ของ LOUIS VUITTON
ตั้งแต่ช่วงต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมาใครผ่านลานน้ำพุห้างสรรพสินค้าสยามพารากอนคงแปลกใจว่าอยู่ดีๆมีก้อนเหลี่ยมๆเรียบๆเงินอะไรมาตั้งอยู่ตรงนี้ จริงแล้วมันคือนิทรรศการที่ผมเองเมื่อได้ยินข่าวแล้วรู้สึกตื่นเต้นมาก เพราะนั่นคือ
"Time Capsule Exhibition" ของ LOUIS VUITTON
เป็นอาคารนิทรรศการชั่วคราวที่สร้างขึ้นมาได้ดูเท่มาก เรียบๆเงาๆ ความปราณีตของงานก่อสร้างถือว่าทำได้ดีทีเดียว แหมก็แบรนด์ระดับโลกจะมาสร้างอะไรไก่กาให้เสียชื่อได้ยังไงกัน
นิทรรศการเล่าแนวความคิดของหลุยส์ วิตตองจากต้นกำเนิดเมื่อ 160 ปีก่อนสู่ปัจจุบัน สะท้อนให้เห็นถึงความล้ำสมัยของผลิตภัณฑ์ในทุกยุคสมัยที่ผ่านมา และการตอบสนองความต้องการของผู้คน แบบที่สื่อออกมาไม่ต้องยืดยาวแต่ดูจบแล้วต้องรู้สึกถึงตัวตนของแบรนด์นี้แน่ๆ งานจัดตั้งแต่วันที่ 7-25 กันยายน เข้าชม ฟรี !!! ย้ำอีกทีว่า ฟรี !!!งานดีๆระดับโลกที่ไม่ได้หาดูได้ง่ายๆมาจัดถึงหน้าบ้านเรา แถมจัดเป็นที่แรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซะด้วยจะพลาดได้ไงกัน รีบไปดูก่อนที่จะเมาท์กับเพื่อนบ้านไม่รู้เรื่อง
เดินเข้าไปชมห้องแรก เป็นนิทรรศการเรื่องอัตลักษณ์ของหลุยส์ วิตตอง ที่บรรยายความเป็นมาของผ้าใบลายทาง ลายดามิเยร์แบบเรขาคณิต และลายโมโนแกรมสุดคลาสสิค ที่วางหีบรุ่นเก่าและรุ่นใหม่วางคู่กัน แสดงถึงแรงบันดาลใจที่ส่งต่อมาจากอดีตจนสู่ปัจจุบัน ดูแล้วก็เออ....มันก็ดูสวยเท่มาตั้งแต่เมื่อร้อยปีที่แล้ว ที่สำคัญของที่เอามาโชว์เป็นผลงานชิ้นเอกของจริงที่เก็บรักษาไว้อยู่ในหอจดหมายเหตุที่หาดูได้ยาก มีภาพพิมพ์ และภาพถ่ายในอดีต รวมถึงภาพสเกทช์ในการออกแบบหีบกระเป๋าต่างๆที่น่าสนใจ เช่นหีบที่กางออกมาเป็นเตียง เป็นต้น
ห้องจัดแสดงออกแบบให้เป็นโถงกว้างๆ วางตู้โชว์ไว้สองข้าง เปิดพื้นที่ให้ชมได้อย่างอิสระนิดนึง เป็นหลักการออกแบบห้องนิทรรศการโดยทั่วไปเพราะห้องแรกมักจะมีการสัญจรค่อนข้างมาก เป็นตัวกักจำนวนคนแล้วค่อยๆทยอยปล่อยผู้ชมเดินต่อไป มีผู้นำชมสาวสวยมายืนคอยให้คำอธิบายอยู่
ห้องต่อมาเล่าเรื่องราวของการเดินทางกับหลุยส์ วิตตอง ที่น่าสนใจมาก แบ่งกลุ่มเป็นเรื่องของการเดินทางด้วยพาหนะต่างๆตามยุคสมัย ตั้งแต่การเดินทางโดยเรือ รถยนต์ ยันเครื่องบินเลย โดยมีพื้นหลังเป็นจอภาพที่เคลื่อนไหวเสมือนเราอยู่ในยานพาหนะที่พาเราเดินทางจากอดีตวิ่งผ่านทุ่งหญ้า ลุยทะเลไปยังอวกาศนอกโลกเลย ทำให้เห็นถึงการเป็นผู้นำในการออกแบบหีบที่ตอบสนองการใช้งานทุกรูปแบบ ที่ไม่ใช่แค่ออกแบบสวยๆเพียงอย่างเดียว มีคอลเลคชั่นใหม่ที่เมื่อวางคู่กับของเก่าแล้วถึงบางอ้อว่ากระเป๋ากลมๆที่เห็นสาวๆถือกันอยู่ในปัจจุบันนี้มันมีที่มายังไง
หลังจากที่เล่าเรื่องราวของการตอบสนองการใช้งานในทุกรูปแบบแล้ว ห้องถัดมาเป็นเรื่อง ความโก้หรูสง่างามยามเดินทาง ที่หลุยส์ วิตตองรังสรรค์ขึ้นมาตอบสนองวิถีชีวิตในระหว่างการเดินทาง ในยุคที่ไม่สามารถเล่นเฟสบุค แชทไลน์บนรถได้ ก็ต้องหาความบันเทิงอื่นๆระหว่างเดินทาง เช่น กล่องใส่ซิการ์ กล่องชุดชา กล่องใส่น้ำหอม ฯลฯ
เมื่อผลิตภัณฑ์ตอบสนองชีวิตในทุกรูปแบบแล้วก็เลยต้องสร้างสรรค์ที่สิ่งที่มันยิ่งกว่าแบรนด์อื่น ก็เลยเปิดโอกาสให้นักออกแบบ ศิลปินต่างๆมาร่วมสร้างผลงานคอลเลคชั่นพิเศษขึ้นมา ทำให้ความเป็นหลุยส์ วิตตองไม่ได้เป็นแค่ผลิตภัณฑ์ที่ดูคลาสสิคอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังปรับตัวตามยุคสมัยได้เรื่อยๆ แม้กระทั่งป้ายาโยอิ ลายจุดยังมาร่วมงานด้วยเลย
ที่น่าภูมิใจคือมีห้องที่นำเสนอเรื่องราวความสัมพันธ์ของไทยกับหลุยส์ วิตตอง ที่ห้องนิทรรศการนี้ในหลายๆประเทศจะไม่มี แต่ของไทยมีมาโชว์หลายอย่าง ตั้งแต่เอกสารการสั่งซื้อหีบของ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน เรื่อยมาจนรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ ๙ เมื่อเสด็จพระราชดำเนินไปยังฝรั่งเศส ทางหลุยส์ วิตตองก็ได้จัดทำหีบสำหรับการเดินทางเป็นคอลเลคชั่นพิเศษถวาย และหีบเก็บเครื่องประดับและนาฬิกาที่พระเจ้าหลานเธอพระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ ทรงงานออกแบบร่วมกับหลุยส์ วิตตองด้วย
มาสู่จุดไฮไลท์ของงานนี้ที่ผมประทับใจมากกับห้องที่สรุปเรื่องราวทั้งหมดผ่านหีบกลางห้อง พร้อมจอที่ผนังทั้ง 4 ด้าน แบบไม่ต้องมีคำบรรยายอะไรมากมาย รับเอาแต่ฟิลลิ่งไปพอ ก็จบนิทรรศการแบบสวยงาม เท่ และประทับใจ
จบแล้วยังมีตู้แจกโปสการ์ดที่ให้กรอกรายละเอียดข้อมูลผู้ชม แล้วสุ่มแจกออกมา แล้วแต่ว่าใครจะได้ลายอะไรไป และโชว์การทำกระเป๋าจากช่างฝีมือที่อิมพอร์ตมาจากฝรั่งเศสตัวเป็นๆ สลับกันมาทำให้ดูพร้อมเปิดโอกาสให้ซักถามเรื่องต่างๆได้
เดินชมจนจบผมประทับใจกับคุณค่าของหลุยส์ วิตตอง ที่นำเสนอตั้งแต่จุดเริ่มต้นกับแนวทางปัจจุบันออกมาเป็นนิทรรศการที่น่าสนใจ ชอบในการใช้มัลติมีเดียเพื่อส่งเสริมการจัดแสดงแบบพอดิบพอดีไม่ล้นแบบไทยๆที่ชอบทำกัน (ตัวเองก็เคยทำแบบนั้น...ฮา) ผสมความวินเทจภายในกับเปลือกดีไซน์เรียบแต่ล้ำ เป็น Time Capsule ที่ยังไปอนาคตได้อีกนานโดยไม่เชย
ในแง่ของการตลาดแล้วถือว่าคุ้มค่ามากๆ เพราะนิทรรศการสื่อให้ผู้ชมรับรู้ถึงคุณค่าของแบรนด์ทั้งในแง่ของความสวยงาม คงทน ของผลิตภัณฑ์ และแนวความคิดที่พัฒนาอย่างไม่หยุดนิ่ง ทำให้รู้สึกว่ากระเป๋าหลุยส์นั้นไม่แพงเลยเมื่อเราดูนิทรรศการจบ (แต่จะมีตังค์ซื้อรึเปล่าอีกเรื่องนึงนะ...)
ว่าแล้วก็เดินเข้าร้านหลุยส์ วิตตองข้างๆซื้อกระเป๋าสักใบก่อนกลับบ้านเลยละกัน... แหมค่าโฆษณาก้อนนี้ของหลุยส์ วิตตองมันช่างคุ้มแสนคุ้ม ทำมาเปิดดูฟรีให้อยากซะอย่างนั้น
แม้เหลือเวลาเข้าชมอีกไม่มาก แต่ก็ยังหาเวลาไปทันนะ....